วารสาร TFPA Magazine
วารสาร TFPA Magazine ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน 2568
- สารจากนายกสมาคม
- What’s On
- Cover Story: กลยุทธ์การถอนเงินหลังเกษียณ
- Sharing of Experience: ความยุ่งยากหลังความตาย หากไม่ได้วางแผนไว้ก่อน
- New Product: Negative Income Tax กับระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย
- How To: เปรียบเทียบทางเลือกในการซื้อประกันสุขภาพ
- The Interview: วางแผนชีวิตอย่างไรเมื่อต้องอยู่ถึง 100 ปี
- Infographic: ข้อมูลผู้เกษียณอายุจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- ตารางสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ปี 2568
- โครงการพัฒนา TFEX Prop Trade 2025 "TFEX NEXT GEN: Road to Prop Trader"
สารจากนายกสมาคม

สวัสดีเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ
สำหรับในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สมาคมนักวางแผนการเงินไทยยังคงเดินหน้าผลักดันพันธกิจหลักอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งเสริมวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP® และที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ ให้เป็นที่รู้จัก และการขยายความรู้ด้านการวางแผนการเงินสู่ประชาชนในวงกว้าง
ผมและผู้แทนจากสมาคมฯ ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุม FPSB Asia-Pacific Forum Meeting เมื่อวันที่ 22–24 กรกฎาคม ณ กรุงเดลลี ประเทศอินเดีย ร่วมกับตัวแทนจาก 13 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาวิชาชีพ การสร้างการรับรู้เรื่องการวางแผนการเงินในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และบทบาทของการนำ AI มาใช้ในการวางแผนการเงินในอนาคต ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ แม้ว่าในปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้นำ AI มาใช้ในการสร้างแผนการเงิน แต่นักวางแผนการเงินได้เริ่มนำ AI มาช่วยทำงานในการสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น
สมาคมฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรม Thairath Money Campus Tour 2025 ถ่ายทอดความรู้ด้านการเงินให้กับน้องนักศึกษา ผ่านเวิร์กชอปที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง จากนักวางแผนการเงิน CFP® รุ่นพี่ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสำหรับประชาชนทั่วไป อย่าง Happy Salaryman และ Financial Planning Clinic ที่ให้ความรู้และคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการวางแผนการเงินในหลากหลายมิติ
สำหรับกิจกรรมเพื่อเพื่อนสมาชิก สมาคมฯ ยังคงจัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม CFP® Professional Forum รายเดือน และล่าสุดกับกิจกรรม “ลึกจริงๆ” ที่ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มากประสบการณ์อย่าง Mr. Alfred Chia, CFP® จากประเทศสิงคโปร์ มาแบ่งปันประสบการณ์การสร้างธุรกิจวางแผนการเงิน รวมถึง สัมมนาออนไลน์จากทาง FPSB ในหัวข้อ “How to Build Your Career as a Young Financial Planner” ที่เปิดเวทีให้นักวางแผนการเงิน CFP รุ่นใหม่จากประเทศสิงคโปร์ นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร มาเล่าถึงเส้นทางอาชีพ และแรงบันดาลใจให้กับนักวางแผนการเงิน CFP ทั่วโลก
นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้เปิดอบรมหลักสูตรจรรยาบรรณและความรับผิดชอบสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวางแผนการเงิน เพื่อเสริมสร้างจริยธรรม และยกระดับมาตรฐานการให้บริการของนักวางแผนการเงินไทยให้เทียบเท่าสากล อีกทั้งยังมีการ ปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP ชุดวิชาที่ 4 การวางแผนเพื่อวัยเกษียณ ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งสมาชิกสามารถดาวน์โหลดเอกสารอัปเดตได้แล้วทางเว็บไซต์ของสมาคมฯ
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่ช่วยกันขับเคลื่อนวิชาชีพของเราให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง และต่อเนื่อง หวังว่าจะได้พบกับทุกท่านในกิจกรรมของสมาคมฯ ในไตรมาสถัดไปครับ
วิโรจน์ ตั้งเจริญ
นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
What’s On
สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ร่วมงาน Thairath Money Campus Tour 2025 บุก 5 มหาวิทยาลัย
จัด Workshop “ออมดี ลงทุนเป็น” ผ่านบอร์ดเกม ให้กับนิสิตนักศึกษา

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ร่วมกับ Thairath Money จัดกิจกรรม “Thairath Money Campus Tour 2025” บุก 5 มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินให้กับนิสิตนักศึกษา โดยเริ่มต้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ได้รับเกียรติจาก คุณชลธี พรโรจนางกูร CFP Senior Vice President ฝ่ายบริหารกลุ่ม Wealth Management ธนาคารกรุงเทพ และกรรมการสมาคมฯ พร้อมผู้บริหารไทยรัฐ ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายผสมผสานทั้งสาระและความสนุก อาทิ โซนเกมการเงิน “The Fin Warrior” ที่ช่วยให้นิสิตนักศึกษาเรียนรู้แนวคิด “ออมดี ลงทุนเป็น” ผ่านการเล่นเกมร่วมกับนักวางแผนการเงิน CFP® และที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ อีกทั้งยังมีโซน Audition ค้นหา Content Creator สายการเงิน ผู้ชนะได้รับรางวัลเป็นคอร์สอบรม Module 1: พื้นฐานการวางแผนการเงิน ภาษี และจรรยาบรรณ จากสถาบันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมฯ ได้แก่ ThaiPFA, CMSK, AIMC และ AVP Academy หลังจากความสำเร็จที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กิจกรรมยังได้เดินหน้าต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอแบค และมหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมเตรียมบุกอีก 5 มหาวิทยาลัยภายในปีนี้ เพื่อสานต่อภารกิจเผยแพร่ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องให้เยาวชนไทยนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมั่นใจ
การประชุมชี้แจงและทำความเข้าใจการทดสอบ ข้อสอบฉบับที่ 4 ส่วนที่ 2 ข้อสอบแผนการเงิน

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 14.00-16.00 น. สมาคมนักวางแผนการเงินไทย จัดชี้แจงผลการสอบข้อสอบฉบับที่ 4 ส่วนที่ 2 ข้อสอบแผนการเงิน จัดขึ้นที่ห้อง 601-602 ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผ่านระบบ Zoom โดยมีผู้เข้าร่วมฟังทั้งสิ้น 208 คน ซึ่งคุณมยุรี โชวิกรานต์ รองผู้อำนวยการฝ่ายมาตรฐานวิชาชีพ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในการสอบข้อสอบฉบับที่ 4 ส่วนที่ 2 ข้อสอบแผนการเงิน ครั้งที่ 1/68 อัตราการสอบผ่านหรือ Passing rate เท่ากับ 12% เท่านั้น ซึ่งสมาคมฯ ได้แจ้งจุดอ่อนหรือข้อควรปรับปรุงสำหรับการสอบในครั้งถัดไป อาทิเช่น การเพิ่มทักษะการคิด วิเคราะห์ และเชื่อมโยงผลของการวิเคราะห์ เพื่อนำมาสู่การให้คำแนะนำในประเด็นต่างๆ ที่โจทย์ถาม ตัวอย่างเช่น การคำนวณอัตราส่วนทางการเงินส่วนบุคคล และการอธิบายถึงผลเมื่อเทียบกับเกณฑ์เหมาะสม อีกทั้งเมื่อโจทย์เปลี่ยนเงื่อนไข การให้คำแนะนำไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างกันได้ เป็นต้น รวมถึงเนื้อหาด้านการลงทุน เพราะเป็นส่วนที่คะแนนเฉลี่ยทำได้ต่ำที่สุดของการสอบในครั้งนี้ ทั้งนี้สมาคมฯ ได้นำตัวอย่างการตอบข้อสอบของผู้ที่สอบผ่าน พร้อมชี้ประเด็นให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นและเข้าใจถึงแนวทางการตอบ เมื่อเทียบกับประเด็นผู้ที่สอบไม่ผ่านส่วนใหญ่มักละเลย นอกจากนี้สมาคมฯ ได้แนะแนวทางการเตรียมตัวสอบแก่ผู้ที่เข้าฟังการชี้แจง รวมถึงข้อสอบเก่าที่เผยแพร่บนหน้าเว็บไซต์ของสมาคมฯ เพื่อให้
ผู้เตรียมตัวสอบได้ฝึกฝนระหว่างการเตรียมตัวสอบ ท้ายสุดนี้สมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เตรียมตัวสอบจะเข้าใจถึงแนวทางการสอบข้อสอบฉบับที่ 4 ส่วนที่ 2 ข้อสอบแผนการเงิน ซึ่งสมาคมฯ มีจัดสอบรอบที่ 2/2568 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 โดยจะเปิดรับสมัครสอบระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2568 ท่านสามารถติดตามรายละเอียดการสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ของทางสมาคมฯ www.tfpa.or.th
สมาคมนักวางแผนการเงินไทย จัดกิจกรรม “Happy Salaryman มนุษย์เงินเดือน เงินดีมีสุขยันเกษียณ”ให้กับ โรงงานเภสัชกรรมพอนด์ เคมิคอล ประเทศไทย และ บริษัท พินนาเคิล โบรกเกอร์เรจ จำกัด

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย เดินหน้ากิจกรรม “Happy Salaryman: มนุษย์เงินเดือน เงินดี มีสุขยันเกษียณ” ภายใต้โครงการ Financial Well-being โดยจัดให้กับพนักงานโรงงานเภสัชกรรมพอนด์ เคมิคอล ประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 และบริษัทพินนาเคิล โบรกเกอร์เรจ จำกัด จัด Workshop รูปแบบออนไลน์ เป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 11 กันยายน 2568 การอบรมมุ่งเน้นหัวข้อสำคัญ ได้แก่ ความจำเป็นของการวางแผนการเงิน การตั้งเป้าหมายเพื่ออิสรภาพทางการเงิน และการจัดการหนี้ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินและเงินออมที่เพียงพอในวัยเกษียณ โดยมี คุณนฤมล บุญสนอง CFP กรรมการสมาคมฯ เป็นวิทยากร พร้อมเปิดโอกาสให้พนักงานเข้ารับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับนักวางแผนการเงิน ฟรี 1 ชั่วโมง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากทั้งสององค์กร
กิจกรรม Financial Planning Clinic

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจัดกิจกรรม Financial Planning Clinic เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้รับคำปรึกษาวางแผนการเงินจากนักวางแผนการเงิน CFP แบบตัวต่อตัวทางออนไลน์ มีนักวางแผนการเงิน CFP อาสา 15 คนร่วมให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 15 คน
การสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ครั้งที่ 4 ปี 2568

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจัดทดสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ครั้งที่ 4 ปี 2568 สนามสอบ ศูนย์เรียนรวม 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน โดยเปิดทดสอบทั้งสิ้น 3 วิชา ดังนี้
- ข้อสอบฉบับที่ 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน ภาษีและจรรยาบรรณ จำนวนผู้เข้าสอบรวม 400 คน
- ข้อสอบฉบับที่ 2 การวางแผนการลงทุน (หลักสูตรเดิม 85 ข้อ) จำนวนผู้เข้าสอบรวม 189 คน
ข้อสอบฉบับที่ 2 การวางแผนการลงทุน (หลักสูตรปรับปรุงใหม่ 120 ข้อ) จำนวนผู้เข้าสอบรวม 45 คน
การปรับปรุงเนื้อหาชุดวิชาที่ 3 การวางแผนประกันภัย บทที่ 4 การประกันชีวิต

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาในชุดวิชาที่ 3 การวางแผนประกันภัย บทที่ 4 การประกันชีวิต สามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติมการปรับปรุงเนื้อหาตําราได้ที่ https://bit.ly/4gqX7nF และสำหรับรายละเอียดการปรับปรุงตำรา คลิก
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถอัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับการปรับปรุงตำราในชุดวิชาต่าง ๆ ของทางสมาคมฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.tfpa.or.th (หัวข้อ เอกสารดาวน์โหลด> ผู้อบรมและผู้สมัครสอบ “หัวข้อ แจ้งการปรับปรุงเนื้อหาตําราหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP®”)
Cover Story: กลยุทธ์การถอนเงินหลังเกษียณ

สำหรับการบริหารพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณ คำถามพื้นฐานที่ผู้รับคำปรึกษาต้องการทราบคือ
“ควรถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนอย่างไรจึงจะเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายของการใช้ชีวิต”
ความท้าทายของคำตอบจะแตกต่างกันไปตามฐานะและโครงสร้างสินทรัพย์ของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่มีสินทรัพย์จำกัด ความเสี่ยงหลักคือ ความเสี่ยงที่เงินทุนจะหมดก่อนสิ้นอายุขัย (Longevity Risk) ซึ่งอาจบั่นทอนคุณภาพชีวิตในบั้นปลาย ในทางกลับกัน ผู้ที่มีสินทรัพย์จำนวนมากกลับเผชิญกับความเสี่ยงในการถอนใช้ทรัพยากรไม่เต็มศักยภาพ (Underconsumption Risk) ทำให้เหลือเงินส่วนเกินมากเกินไปเมื่อสิ้นชีวิต และพลาดโอกาสในการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือตอบสนองเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งสองสถานการณ์สะท้อนความจำเป็นของการบูรณาการ “การจัดพอร์ตการลงทุน” และ “กลยุทธ์การถอนเงิน” ให้สอดรับกันตามเงินทุนที่มี และความต้องการ โดยต้องพิจารณาปัจจัยเชิงปริมาณ เช่น ผลตอบแทนคาดหวัง ความผันผวนของสินทรัพย์ และอัตราเงินเฟ้อ ควบคู่กับปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น พฤติกรรมการใช้จ่าย ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายการส่งต่อมรดก
บทบาทของการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงหลังเกษียณ
การจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงหลังเกษียณมีบทบาทที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงก่อนเกษียณ เนื่องจากเป้าหมายทางการเงินและเงื่อนไขความเสี่ยงได้เปลี่ยนไป ในช่วงก่อนเกษียณ จุดมุ่งหมายหลักคือการสร้างความมั่งคั่งผ่านการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ การรับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้นอาจเป็นสิ่งยอมรับได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังเกษียณ บทบาทหลักของพอร์ตการลงทุนจะเปลี่ยนไปสู่การรักษากำลังซื้อและการจัดการกระแสเงินสดให้ยั่งยืนตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ หรือหากยังจำเป็นต้องเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้จ่าย ก็มีข้อจำกัดด้านความเสี่ยงและทางเลือกการลงทุน
พอร์ตการลงทุนหลังเกษียณจึงต้องทำหน้าที่สองประการควบคู่กัน คือ การสร้างรายได้ที่เพียงพอสำหรับการถอนใช้ และการปกป้องเงินต้นจากความเสี่ยงที่อาจทำให้เงินหมดก่อนสิ้นอายุขัย (Longevity Risk) ซึ่งเป็นความกังวลหลักของผู้มีสินทรัพย์จำกัด ในขณะเดียวกันก็ต้องลดโอกาสเกิดความเสี่ยงจากการใช้จ่ายต่ำเกินไป (Underconsumption Risk) อันเป็นปัญหาที่พบในผู้มีสินทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งอาจถอนเงินใช้ไม่เต็มศักยภาพเพราะกลัวกระทบต่อความมั่นคงในอนาคต
การจัดพอร์ตในระยะนี้จึงต้องมีการปรับสัดส่วนสินทรัพย์อย่างรอบคอบ โดยเน้นลดความผันผวนเพื่อป้องกันผลกระทบจากความเสี่ยงของลำดับผลตอบแทน (Sequence of Returns Risk) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผลตอบแทนในช่วงแรกของการเกษียณต่ำกว่าคาด ทำให้ต้องถอนเงินในภาวะที่พอร์ตปรับตัวลดลง ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนลดลงอย่างถาวร แม้ตลาดจะฟื้นตัวในภายหลังก็ตาม การใช้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนตลาดเงิน เพื่อรองรับการถอนใช้ในช่วงที่ตลาดผันผวน จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ขณะเดียวกันสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นหรือสินทรัพย์ทางเลือก ยังมีความจำเป็นเพื่อชดเชยผลกระทบจากความเสี่ยงของเงินเฟ้อ (Inflation risk) เพื่อรักษากำลังซื้อในระยะยาว การประเมินและจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงเหล่านี้เป็นขั้นตอนสำคัญของการวางแผนการถอนเงิน เนื่องจาก การออกแบบพอร์ตหลังเกษียณไม่ใช่เพียงการคำนวณสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างโครงสร้างพอร์ตการลงทุนกับแผนการถอนเงินที่ผู้รับคำปรึกษาจะใช้จริงในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจเชิงลึกในพฤติกรรมการใช้จ่าย ความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ต และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พอร์ตหลังเกษียณสามารถตอบสนองทั้งเป้าหมายด้านความมั่นคงและคุณภาพชีวิตได้อย่างแท้จริง
กรอบแนวคิดการถอนเงินจากพอร์ตการลงทุน
การถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนในช่วงหลังเกษียณเป็นโจทย์ที่มีหลายมิติ ไม่เพียงต้องพิจารณาจำนวนเงินที่ต้องการใช้จ่าย แต่ยังต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของพอร์ต การรักษากำลังซื้อ และความสมดุลระหว่างการใช้เงินเพื่อคุณภาพชีวิตกับการเหลือสินทรัพย์เป็นมรดก ปัจจัยเหล่านี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของความไม่แน่นอน ทั้งด้านผลตอบแทนของตลาด อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากลำดับผลตอบแทน ซึ่งทำให้การวางแผนถอนเงินจำเป็นต้องใช้ทั้งหลักการเชิงปริมาณและการพิจารณาเชิงคุณภาพร่วมกัน โดยกลยุทธ์การถอนเงินสามารถแบ่งออกได้หลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีกลไก ผลเชิงระบบ และข้อแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกัน
หนึ่งในแนวคิดหลักที่ใช้เป็นจุดตั้งต้นคือ “อัตราถอนเริ่มต้นที่ปลอดภัย” ซึ่งงานวิจัยในตลาดต่างประเทศมักชี้ว่าอยู่ในช่วงประมาณ 3–4% ต่อปีของมูลค่าพอร์ต สำหรับระยะเวลาเกษียณราว 30 ปี ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นสูตรตายตัว แต่เป็น กรอบแนวคิดเบื้องต้นที่นักวางแผนการเงินสามารถปรับให้สอดคล้องกับสมมติฐานผลตอบแทน อัตราเงินเฟ้อ และโครงสร้างพอร์ตของผู้รับคำปรึกษา การตั้งอัตราเริ่มต้นในระดับที่อนุรักษนิยมมีความสำคัญ เพราะช่วยลดโอกาสที่เงินในพอร์ตจะหมดก่อนเวลา แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ต่ำเกินไปจนเกิดการใช้จ่ายต่ำเกินความจำเป็น
อีกตัวอย่างหนึ่งที่นักวางแผนการเงินรู้จักกัน คือ กลยุทธ์แบบคงที่ตามมูลค่าเงินปรับตัวเงินเฟ้อ (Fixed Real Withdrawal) ให้ความมั่นคงของรายได้และคาดการณ์ได้ง่าย เหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอของรายรับ แต่แลกกับการใช้เงินได้ไม่เต็มศักยภาพในปีที่ตลาดให้ผลตอบแทนดี ขณะที่กลยุทธ์แบบยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้ใช้เงินได้มากขึ้นในปีที่ตลาดดี และลดการถอนลงในปีที่ตลาดแย่ ช่วยเพิ่ม “เงินใช้รวม” ตลอดช่วงเกษียณ แต่ต้องยอมรับความผันผวนของรายได้และมีวินัยในการปรับลดเมื่อถึงเวลาจำเป็น
ตัวอย่างอย่างงานวิจัยเกี่ยวกับกลยุทธ์การถอนเงินหลังเกษียณ
งานวิจัย “State of Retirement Income 2024” ได้ทำการทดสอบรูปแบบการถอนเงินหลายวิธีภายใต้สมมติฐานที่ควบคุมอย่างรัดกุม ทั้งในด้านสัดส่วนหุ้น–ตราสารหนี้ อัตราเงินเฟ้อ ผลตอบแทน และกรอบเวลาการเกษียณ 30 ปี กลยุทธ์ที่นำมาใช้ เช่น
1. ถอนแบบคงที่ปรับตามเงินเฟ้อ (Fixed Real / Base Case)
เป็นวิธีถอนเงินจำนวนเท่ากัน โดยปรับตามเงินเฟ้อทุกปี งานวิจัยชี้ว่าอัตราถอนเริ่มต้นที่ปลอดภัยอยู่ราว 3.7% ต่อปี สำหรับพอร์ตที่มีสัดส่วนหุ้น 20–50% ในระยะเวลา 30 ปี ที่มีโอกาสสำเร็จถึง 90% จุดเด่นของวิธีนี้คือให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอคล้าย “เงินเดือนหลังเกษียณ” และมักเหลือมูลค่าพอร์ตสูงเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 30 ปี เหมาะกับผู้ที่คำนวณแผนเกษียณอายุจากค่าใช้จ่ายหลังเกษียณที่ต้องการ โดยเทียบกับมูลค่าปัจจุบันและใช้สมมติฐานเงินเฟ้อ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณที่ต้องการ หรือต้องการเหลือมรดกให้ทายาท แต่ข้อจำกัด คือ อาจใช้จ่ายต่ำเกินไปหากพอร์ตการลงทุนเติบโตได้ดี เพราะการถอนเงินไม่ได้สัมพันธ์กับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง
2. งดปรับเงินเฟ้อหลังปีที่พอร์ตขาดทุน (Forgo-Inflation-After-Loss)
หลักการคือหากปีใดพอร์ตติดลบ ปีถัดไปจะงดการปรับเพิ่มตามเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยเพิ่มเงินใช้ตลอดชีพได้เล็กน้อยเหนือกว่าวิธีการถอนแบบคงที่ ในขณะที่ยังคงความสม่ำเสมอของรายได้มากกว่าวิธียืดหยุ่นอื่น อย่างไรก็ตาม หากตลาดแย่ต่อเนื่อง มาตรฐานการครองชีพอาจลดลงถาวร วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของรายได้ แต่ยอมรับการ “หยุดขึ้นเงิน” บางปี
3. ถอนตามกฎ RMD (Required Minimum Distributions)
เป็นการถอนตามมูลค่าของพอร์ตการลงทุนหารด้วยอายุคาดเฉลี่ย เช่น หากคาดว่ามีระยะเวลาหลังเกษียณ 30 ปี จำนวนเงินที่ถอนได้เท่ากับ มูลค่าพอร์ต หารด้วย 30 วิธีนี้ทำให้โดยนิยาม พอร์ตการลงทุนจะไม่หมดก่อนสิ้นอายุขัย เนื่องจาก จำนวนเงินที่ถอนจะเป็นสัดส่วนของมูลค่าพอร์ตตามอายุขัยที่เหลือ แต่อาจต้องแลกกับกระแสเงินสดที่ผันผวนมาก และมูลค่าพอร์ตปลายงวดต่ำเพราะใช้ทุนเกือบหมด เหมาะกับผู้ที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่าย และไม่กังวลเรื่องเหลือมรดก
4. Guardrails (พัฒนาโดย Guyton–Klinger)
เป็นแนวคิดของการถอนเงินแบบยืดหยุ่นตามภาวะตลาด โดยจะถอนเงินมากขึ้นหากตลาดปรับตัวดี และถอนเงินลดลงเมื่อตลาดปรับตัวแย่ วิธีนี้เริ่มต้นด้วยอัตราถอนที่กำหนดไว้ จากนั้นปรับเพิ่มหรือลดตามเกณฑ์ เช่น เพิ่ม +10% หากอัตราถอนจริงต่ำกว่าอัตราเริ่มต้น 20% หรือลด -10% หากสูงกว่าอัตราเริ่มต้น 20% ตัวอย่างการคำนวณเช่น มีพอร์ตการลงทุนมูลค่า 10,000,000 บาท ปีแรกถอนในอัตรา 4% คือ 400,0000 บาท หากว่าปีต่อไปตลาดปรับตัวดี มูลค่าพอร์ตการลงทุนกลายเป็น 13,000,000 บาท ด้วยการถอนเงินแบบคงที่ + เงินเฟ้อ (3%) การถอนเงินจะเท่ากับ 412,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าพอร์ต จะเท่ากับ 412,000 / 13,000,000 = 3.17% ซึ่งลดลง 21% เมื่อเทียบกับการถอนเดิมที่ 4% จึงสามารถเปลี่ยนการถอนเงินเป็นเพิ่มขึ้น 10% จาก 412,000 บาทเป็น 453,000 บาท และทำกลับกันคือถอนเงินลดลง 10% หากว่าตลาดปรับตัวลดลงจนอัตราการถอนเงินมากกว่าอัตราการถอนก่อนหน้า 20% วิธีนี้ให้ค่าเริ่มต้นสูงที่สุดในบรรดาวิธียืดหยุ่น และเพิ่มรายจ่ายตลอดชีพได้มาก โดยเฉพาะหากมีรายได้คงที่อื่นช่วยรองรับค่าใช้จ่ายจำเป็น ข้อจำกัดของแนวคิดนี้คือความผันผวนของรายได้และความจำเป็นที่ต้องมีวินัยในการปรับตามสัญญาณตลาด
5. Actual Spending (ใช้จ่ายจริงลดลงตามอายุ)
วิธีการนี้ตั้งอยู่บนข้อมูลสมมติฐานว่าการใช้จ่ายของผู้เกษียณมีแนวโน้มลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (ยกเว้นค่ารักษาพยาบาล) ตามเอกสารการศึกษาของ David Blanchett ในเรื่อง True cost of retirement วิธีการนี้ส่งผลให้อัตราถอนเริ่มต้นปลอดภัยสูงขึ้นราว 4.8% และความผันผวนของรายได้ต่ำใกล้เคียงวิธีคงที่ อย่างไรก็ตาม “เงินใช้รวม” ตลอดชีพอาจน้อยกว่าวิธียืดหยุ่นเพราะสมมติให้ค่าใช้จ่ายลดลงต่อเนื่อง เหมาะกับผู้ที่คาดว่าพฤติกรรมใช้จ่ายของตนจะเป็นไปตามแนวโน้มอายุตนเอง
สรุปผลการทดสอบชี้ให้เห็นว่า วิธียืดหยุ่น เช่น Guardrails และ RMD สามารถเพิ่ม “รายจ่ายตลอดชีพ” ได้มากกว่าวิธีคงที่ โดยเฉพาะในกรณีที่มีรายได้คงที่อื่นมารองรับค่าใช้จ่ายจำเป็น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องแลกมาคือความผันผวนของกระแสเงินสด และความเสี่ยงที่มูลค่าพอร์ตเมื่อสิ้นอายุขัยอาจต่ำกว่าการถอนแบบคงที่
ในทางตรงกันข้าม วิธีคงที่ เช่น Fixed Real หรือการใช้สมมติฐาน Actual Spending แม้จะให้รายได้รวมตลอดชีพต่ำกว่าในบางกรณี แต่ให้ความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดมากกว่า และรักษามูลค่าพอร์ตปลายงวดได้ดีกว่า จึงมักเหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและการเหลือมรดกให้ทายาท
การเชื่อมโยงกลยุทธ์การถอนเงินกับโครงสร้างพอร์ตการลงทุน
กลยุทธ์การถอนเงินต้องพิจารณาให้สอดคล้องไปกับโครงสร้างของพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความยั่งยืนของเงินทุนและคุณภาพชีวิตหลังเกษียณ หากโครงสร้างพอร์ตไม่สอดคล้องกับวิธีถอนเงินที่เลือกไว้ แม้กลยุทธ์ถอนจะมีประสิทธิภาพในเชิงทฤษฎี ก็อาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพในทางปฏิบัติ
การเชื่อมโยงนี้เริ่มจากการทำความเข้าใจว่า แต่ละวิธีถอนเงินมีความต้องการโครงสร้างพอร์ตที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น วิธีถอนคงที่จริง (Fixed Real) และวิธีงดปรับเงินเฟ้อหลังพอร์ตขาดทุน (Forgo-Inflation-After-Loss) เหมาะกับพอร์ตที่มีสัดส่วนสินทรัพย์ผันผวนต่ำถึงปานกลาง และเน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงหรือสินทรัพย์ป้องกันความผันผวน เพื่อรักษาเสถียรภาพของกระแสเงินสด ส่วนวิธีแบบยืดหยุ่น เช่น Guardrails หรือ RMD ต้องอาศัยพอร์ตที่ยังคงมีสัดส่วนในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอยู่พอสมควร เพื่อให้มีศักยภาพสร้างผลตอบแทนและปรับระดับการถอนให้สอดคล้องกับภาวะตลาด
นอกจากการถอนเงินหลังเกษียณแล้ว ยังมีหลักการ ที่นักวางแผนการเงินและผู้วางแผนเกษียณควรรู้ คือ การจับคู่สินทรัพย์กับภาระค่าใช้จ่าย (Matching Assets to Liabilities) โดยกำหนดให้ค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละช่วงเวลาครอบคลุมด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือรายได้การันตี เช่น เงินบำนาญข้าราชการ/ประกันสังคม ประกันบำนาญ ดอกเบี้ยจากพันธบัตร กองทุนตราสารหนี้ หรือเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตหรือเป้าหมายพิเศษสามารถพึ่งพาสินทรัพย์เสี่ยงที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่า วิธีนี้ช่วยลดแรงกดดันต่อพอร์ตในช่วงที่ตลาดผันผวน และยังเปิดโอกาสให้พอร์ตเติบโตได้ในระยะยาว
อีกแนวทางที่นิยมคือ กลยุทธ์ถัง (Bucket Strategy) การแบ่งพอร์ตออกเป็นหลายถังตามระยเวลาของการใช้เงิน เช่น 1. ถังสภาพคล่องระยะสั้น (เช่น เงินสดหรือตราสารหนี้ระยะสั้นสำหรับใช้จ่าย 1–2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นสภาพคล่องในยามที่ตลาดปรับตัวผันผวน 2. ถังรายได้ระยะกลาง (ตราสารหนี้คุณภาพสูงหรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางมีคุณสมบัติการสร้างรายได้) และ 3. ถังเติบโตระยะยาว (หุ้นหรือสินทรัพย์เติบโต) ในบางกรณีอาจมีถังอื่นๆ เช่น ถังสำหรับค่ารักษาพยาบาลในระยะยาว วิธีนี้ทำให้ผู้เกษียณสามารถถอนเงินจากถังที่ไม่ผันผวนในช่วงตลาดปรับฐาน และให้เวลาถังเติบโตฟื้นตัวก่อนที่จะขายมาเป็นเงินทุนเพื่อการใช้จ่าย ในถังรายได้ระยะกลางหรือถังสภาพคล่องระยะสั้น
ท้ายที่สุด กลยุทธ์การถอนเงินที่ดีไม่ใช่กลยุทธ์ที่ให้ “ผลตอบแทนสูงสุด” หรือ “เหลือเงินมากที่สุด” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นกลยุทธ์ที่สร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการและการรักษาความมั่นคงทางการเงินจนวาระสุดท้าย โดยนักวางแผนการเงินต้องสื่อสารอย่างโปร่งใสถึงข้อแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงของแต่ละทางเลือก พร้อมติดตามทบทวนและปรับแผนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของผู้รับคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
Sharing of Experience: ความยุ่งยากหลังความตาย หากไม่ได้วางแผนไว้ก่อน

“ความตาย” เป็นสิ่งที่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เราได้วางแผนชีวิตหลังความตายไว้เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ครอบครัวแล้วหรือยัง เพราะเป้าหมายสำคัญในการวางแผนการเงินของผู้ที่มีหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว คือ ส่งต่อความมั่นคงในชีวิต ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความสัมพันธ์ของครอบครัว แต่บริบทของสังคมไทยที่มักไม่พูดคุยถึงทรัพย์สินส่วนตัว และในท้ายที่สุดเมื่อจำเป็นต้องส่งต่อให้ทายาทยามจบชีวิตลงกลับทำให้ความมั่นคงในครอบครัวสั่นคลอน ด้วยความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้นกับครอบครัวหลายประการ
1. การแบ่งมรดกตามกฎหมาย อาจไม่ตรงตามความต้องการของผู้เสียชีวิต เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต ทรัพย์สินจะถูกแบ่งตามลำดับทายาทที่กฎหมายกำหนด หรือ “ทายาทโดยธรรม” อัตโนมัติ คือ 1.ผู้สืบสันดาน 2.บิดามารดา 3.พี่น้องร่วมบิดามารดา 4.พี่น้องต่างบิดามารดา 5.ปู่ย่าตายาย และ 6.ลุงป้าน้าอา โดยใช้หลัก “ญาติสนิทตัดสิทธิ์ญาติห่าง” หรือ ลำดับทายาทแรกสุดที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับมรดกก่อน และตัดสิทธิ์คนที่เหลือ ซึ่งอาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเจ้ามรดก และทำให้เกิดข้อพิพาทในครอบครัวตามมา เช่น บุตรคนหนึ่งได้รับมากกว่าคนอื่นในครอบครัว หรือกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีทายาทและไม่มีผู้รับมรดกแทนที่ หากไม่ทำพินัยกรรมทรัพย์สินจะตกสู่แผ่นดิน ซึ่งเจ้ามรดกอาจต้องการนำไปบริจาคให้กับหน่วยงานอื่นที่เฉพาะเจาะจง เป็นต้น
2. กระบวนการจัดการมรดกใช้เวลานานและซับซ้อน โดยทั่วไปเมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิตจะต้องมี “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการจัดการทรัพย์สินในกองมรดกก่อนที่จะแบ่งทรัพย์มรดกสู่ทายาทตามกฎหมาย โดยหากไม่มีระบุในพินัยกรรม ศาลจะพิจารณาแต่งตั้งให้ใช้เวลาราว 45-60 วัน แต่ถ้ามีคัดค้านการแต่งตั้งอาจใช้ระยะเวลานานออกไปอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งในบางกรณีอาจมีการแต่งตั้งในลักษณะผู้จัดการมรดกร่วม ก็ยังสามารถเกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้จัดการมรดกด้วยกันเอง ยิ่งจะทำให้ทายาทได้รับมรดกล่าช้าออกไปอีก ซึ่งในบางกรณีอาจยืดระยะเวลาออกไปมากกว่า 1 ปีกว่าจะแบ่งมรดกแล้วเสร็จ
3. เกิดภาระทางการเงินเพิ่มเติมแก่ทายาทที่รับมรดก หากในกองมรดกมีแต่อสังหาริมทรัพย์ การโอนออกให้ทายาทจำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อโอนทรัพย์สินต่อไปที่ทายาท ซึ่งจะเป็นภาระทางการเงินเพิ่มเติมจนอาจถึงขั้นต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาชำระค่าใช้จ่ายในการโอนทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท หรืออาจจำเป็นต้องขายทรัพย์สินบางส่วนในราคาที่ไม่เหมาะสมกับช่วงเวลานั้นๆ เพื่อต้องแบ่งทรัพย์สินภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
นักวางแผนการเงินสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยวางแผนมรดกให้การกระจายทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ดังนี้
1. การทำพินัยกรรม เป็นเครื่องมือสำคัญช่วยแบ่งทรัพย์สินให้ทายาทแต่ละคนให้เป็นไปตามที่เจ้ามรดกต้องการ หรือเรียกว่า “ทายาทตามพินัยกรรม” โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับ “ทายาทโดยธรรม” ช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อพิพาทด้านการแบ่งทรัพย์สินในครอบครัว อีกทั้งการระบุแต่งตั้งผู้จัดการมรดกในพินัยกรรมยังช่วยลดเวลาการจัดตั้งผู้จัดการมรดกและลดความขัดแย้งได้ดีกว่าการแต่งตั้งกันเองระหว่างทายาท เพราะเจ้ามรดกน่าจะพิจารณาบุคคลที่สามารถจัดการทรัพย์สินให้เป็นไปตามเจตจำนงของตนเองมากกว่า
แผนภาพที่ 1: ลำดับการส่งต่อมรดกแต่ละกลุ่มทายาทโดยธรรม
ที่มา: TISCO Wealth Advisory
2. โอนทรัพย์สินให้ก่อนตาย เนื่องจากภาษีการรับมรดกพิจารณาจากทรัพย์สินที่ได้รับจากเจ้ามรดกแต่ละรายตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปไม่ว่าจะรับมางวดเดียวหรือทยอยรับหลายงวด ขณะที่ภาษีการรับให้ (Gift Tax) หากผู้รับเป็นบุพการี, ผู้สืบสันดานหรือคู่สมรสจะมีอัตราภาษี 5% จากส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ต่อปี ดังนั้นหากเจ้ามรดกมีทรัพย์สินที่ตั้งใจจะส่งมอบให้แก่ทายาทแต่ละคนอยู่แล้วสามารถทยอยโอนให้ไม่เกินคนละ 20 ล้านบาทต่อปีโดยไม่เสียภาษีการรับให้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระภาษีการรับมรดกให้แก่ทายาทด้วย
3. จัดตั้งกองทรัสต์ กองทรัสต์เป็นกองทุนที่เจ้ามรดกจะเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์และนำทรัพย์สินที่ต้องการจะส่งมอบแก่ทายาททั้งหมดเข้ากองทุน โดยมอบหมายให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee) เข้ามาจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่ทายาทตามเงื่อนไขที่เจ้ามรดกต้องการโดยไม่ต้องแบ่งกองมรดกทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีมรดกของทายาท และลดภาระการจัดสรรทรัพย์สินกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มูลค่าสูงแต่สภาพคล่องต่ำเป็นส่วนมาก เช่น อาคาร, ที่ดิน เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้ทายาทนำทรัพย์สินหรือกิจการที่เจ้ามรดกเคยบริหารไปขายต่อ อย่างไรก็ดีประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายอนุญาตให้จัดตั้งทรัสต์ในไทยในปัจจุบันเว้นแต่เจ้ามรดกจะมีทรัพย์สินอยู่ในต่างประเทศจึงจะสามารถจัดตั้ง ทรัสต์ในต่างประเทศได้
4. ประกันชีวิต เนื่องจากกองมรดกจะรวมถึง “หนี้สินของเจ้ามรดก” และ “ค่าใช้จ่ายแฝงสำหรับการส่งต่อมรดก” ที่อาจเป็นภาระแก่ทายาทได้ เช่น หนี้สินของเจ้ามรดกที่ต้องชำระก่อนแบ่งมรดก, ค่าธรรมเนียมการโอนทรัพย์สินประเภทต่างๆ, ความจำเป็นในการเร่งขายทรัพย์สินเพื่อแบ่งมรดก, ภาษีการขาย หรือโดยเฉพาะภาษีการรับมรดก เป็นต้น ซึ่งประกันชีวิตจะช่วยเข้ามาจัดการค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ดีขึ้น เพราะผู้รับผลประโยชน์จากประกันชีวิตจะได้รับสินไหมภายใน 15 วันถ้าเอกสารเบิกสินไหมครบถ้วน ซึ่งรวดเร็วกว่าการรอแบ่งมรดก โดยมีตัวอย่างกลยุทธ์การซื้อประกันชีวิตเพื่อจัดการการส่งต่อมรดกได้ เช่น
4.1 ซื้อประกันชีวิตที่มีทุนประกันชีวิตเท่ากับภาษีมรดก เพื่อไม่ให้ทรัพย์มรดกลดลงจากการถูกเรียกเก็บภาษีและหลีกเลี่ยงการขายทรัพย์โดยไม่จำเป็นเพื่อนำไปจ่ายภาษี เช่น ทายาทมีสิทธิ์รับมรดกที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกมูลค่า 250 ล้านบาท อาจซื้อประกันชีวิตเพิ่มเติมด้วยทุนประกันชีวิตเทียบเท่า 5% ของส่วนเกินทรัพย์มรดก 100 ล้านบาท หรือทุนประกัน 7.5 ล้านบาท และได้รับรวดเร็วกว่าการให้เจ้ามรดกเก็บเงินให้ทายาทมาจ่ายภาษีเพิ่มเติม เนื่องจากเงินสินไหมไม่นับเป็นกองมรดก ดังนั้นทายาทสามารถได้รับสินไหมทันทีเมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต
4.2 พิจารณาตามความต้องการพื้นฐานของครอบครัว (Needs Approach) เพราะข้อดีของสินไหมจากประกันชีวิตคือการได้รับเงินที่รวดเร็ว จึงสามารถนำสินไหมไปใช้จัดการค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ของครอบครัว เช่น ชำระหนี้สินของกองมรดก, ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น
แม้ความตายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่การวางแผนการเงินส่งมอบทรัพย์สินหลังความตายสามารถช่วยลดภาระและความขัดแย้งในครอบครัวได้ เช่น การทำพินัยกรรม, การโอนทรัพย์สินล่วงหน้า, การใช้กองทรัสต์ และการทำประกันชีวิต ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การส่งต่อทรัพย์สินสู่ทายาทจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของเจ้ามรดกอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนให้ผู้รับคำปรึกษาเริ่มต้นวางแผนร่วมกับสมาชิกครอบครัวตั้งแต่วันนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการส่งต่อความมั่นคงให้คนที่คุณรักอย่างแท้จริง
New Product: Negative Income Tax กับระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย

แม้ว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีนโยบายรัฐบาลใหม่ สำหรับช่วงเวลา 4 เดือน แต่ข้อเสนอ Negative Income Tax (NIT) ของกระทรวงการคลังที่มีการศึกษาข้อดีข้อเสียมาเป็นเวลานาน คาดว่าจะยังมีโอกาสถูกเสนอมาใช้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีเงินได้และสวัสดิการของประชาชนตั้งแต่ปีภาษี 2570 เป็นต้นไปอยู่ NIT คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา
Negative Income Tax (NIT) คือ ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่รวมเรื่องการจัดเก็บภาษีและการจ่ายสวัสดิการเข้าไว้ด้วยกัน อธิบายง่ายๆ คือ หากประชาชนคนใดมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดว่าต้องเสียภาษีหรือตัวเลขที่กำหนด (เกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำ; Income Threshold) ก็จะได้รับสวัสดิการชดเชยตามอัตราต่างๆ ที่กำหนด (อัตราการชดเชย; Rate of Subsidy) เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่มิได้หมายความว่าจะต้องได้รับเงินชดเชยในระดับที่เพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นต่ำ
NIT ถูกพูดถึงครั้งแรกประมาณปี 1960 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา ชื่อ Milton Friedman โดยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาการให้สวัสดิการกับประชาชนที่ซ้ำซ้อนและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายในยุคนั้น ซึ่งมีทั้งการให้เงินช่วยเหลือ สิ่งของ และสิทธิสวัสดิการต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ NIT ซึ่งมีชื่อเรียกและรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีรายได้สูง และมีระบบฐานข้อมูลประชากรที่ดี ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สวีเดน นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร อิสราเอล สิงคโปรร์ และเกาหลีใต้ เป็นต้น
ข้อดีของ NIT ที่ถูกยกมาพูดถึงบ่อยๆ คือ 1) ทำให้ระบบการจ่ายสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 2) ทำให้ประชากรเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากขึ้น ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยว่าจุดเด่นของ NIT ที่ถูกใช้ประเทศต่างๆ จะเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยหรือไม่
ประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบสวัสดิการเงินช่วยเหลือ
ระบบสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพคือ ระบบการจ่ายสวัสดิการถึงบุคคลที่ควรได้รับอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และไม่รั่วไหลไปยังบุคคลที่ไม่ควรได้รับ ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงไม่มีการจ่ายซ้ำซ้อนและยุ่งยากในขั้นตอนต่างๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีสวัสดิการต่างๆ ที่ภาครัฐให้กับประชาชนจำนวนมากทั้งสวัสดิการต่อเนื่องและสวัสดิการแบบครั้งเดียวจบ โดยมีทั้งสวัสดิการที่เสนอขึ้นจากฝ่ายข้าราชการและนโยบายจากนักการเมือง สำหรับกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ โครงการเงิน 10,000 บาท โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่าโครงการหลักอย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังคงมีปัญหาการรั่วไหล (ผู้ไม่มีคุณสมบัติแต่มีบัตรฯ) และมีผู้ตกหล่นจำนวนมาก (ผู้มีคุณสมบัติแต่ไม่มีบัตรฯ)
การใช้เกณฑ์รายได้และทรัพย์สินเพื่อกำหนดสิทธิรับสวัสดิการไม่ใช่เรื่องใหม่ของประเทศไทย เพราะเป็นเกณฑ์หลักของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และหลายโครงการก็นำเกณฑ์รายได้มาร่วมกำหนดว่าบุคคลใดไม่ควรได้รับสวัสดิการนั้นๆ บ้างอยู่แล้ว แต่ยังมีช่องว่างทำให้เกิดการรั่วไหลและตกหล่นเป็นจำนวนมาก แต่ยังคงเป็นที่สงสัยในวงกว้างว่าการใช้ NIT โดยกำหนดให้บุคคลทุกคนต้องยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคธรรมดา จะใช้แก้ปัญหาการรั่วไหลและตกหล่นได้จริงหรือไม่ แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันว่าปัจจุบันมีฐานข้อมูลของประชาชนจำนวนมากและเพียงพอต่อการกำหนดกติกาสำหรับ NIT แล้วก็ตาม
ส่วนเรื่องการนำ NIT มาใช้เพื่อจัดระบบสวัสดิการใหม่เพื่อลดปัญหาสวัสดิการซ้ำซ้อน โดยใช้เรื่องรายได้มาเป็นเกณฑ์พิจารณาว่าใครควรได้รับสวัสดิการและได้รับในจำนวนเท่าไร ยังมีข้อกังขาว่าเรื่องรายได้เป็นสาระสำคัญเพียงพอต่อการกำหนดสวัสดิการสำหรับประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากสังคมไทยมีปัญหาต่างๆ มากมายที่ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วย ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งหลายๆ อย่างที่เคยได้รับการช่วยเหลือแบบเฉพาะเจาะจง หากนำ NIT มาใช้แล้วสวัสดิการต่างๆ เหล่านั้นยังคงอยู่หรือไม่ ภาคการเมืองที่ใช้สวัสดิการต่างๆ ในเชิงประชานิยมจะยินยอมยกเลิกหรือไม่ หากสวัสดิการบางอย่าง ยังคงมีอยู่ บางอย่างยกเลิก อะไรคือเกณฑ์การพิจารณาและสุดท้ายปัญหาด้านความซ้ำซ้อนจะยังคงอยู่ใช่หรือไม่
ประเด็นเรื่อง NIT จะทำให้บุคคลธรรมดาเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
การเพิ่มจำนวนบุคคลในระบบภาษีกลายเป็นอีกเป้าหมายของ NIT ทั้งที่แนวคิดการจัดตั้งตอนแรกคือการจัดการระบบสวัสดิการ แต่ด้วยกลไกที่กำหนดให้บุคคลที่จะได้รับสวัสดิการต้องถูกพิจารณาผ่านเกณฑ์รายได้ ทำให้ผู้สนับสนุน NIT เชื่อว่าระบบ NIT จะทำให้คนที่ไม่เคยยื่นภาษีจะกลับเข้ามาในระบบ ทั้งที่ยังเกิดข้อสงสัยว่าระบบสวัสดิการจะจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้าสู่ระบบภาษีจริงหรือไม่
หากมองในแง่เป้าหมายที่ต้องการให้คนเข้าสู่ระบบภาษี กลุ่มที่ต้องการคือ 1) กลุ่มบุคคลที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นแบบและเสียภาษี แต่ไม่ยอมยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ และ 2) กลุ่มที่ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีในวันนี้แต่มีโอกาสถึงเกณฑ์เสียภาษีในอนาคต(อาจจะมีรายได้ตอนนี้หรือมีแต่ไม่ถึงเกณฑ์ก็ได้) ซึ่งการใช้ระบบ NIT เพื่อดึงคนกลุ่มนี้เข้าระบบหมายความว่าแรงจูงใจคือสวัสดิการที่กลุ่ม 2 จะได้รับเมื่อยื่นภาษีในวันนี้ ซึ่งยังคงเป็นที่สงสัยว่ามูลค่าสวัสดิการดังกล่าวเพียงพอที่จะเป็นแรงจูงใจหรือไม่ ส่วนกลุ่ม 1 ไม่ใช่กลุ่มที่จะได้รับสวัสดิการเมื่อยื่นภาษีอยู่แล้ว จึงไม่มีแรงจูงใจจากสวัสดิการดังกล่าว แม้ NIT จะออกเป็นกฎหมายเพื่อให้ประชาชนตามเงื่อนไข เช่น กำหนดอายุขั้นต่ำของประชาชนที่ต้องยื่นภาษี ก็มองว่าการออกกฎหมายสามารถทำได้โดยไม่ต้องกำหนดเป็น NIT ได้เช่นกัน
ความท้าทายของ NIT สำหรับประเทศไทย
ความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดการ
จากประชากรไทยประมาณ 65 ล้านคนในปัจจุบัน และข้อมูลปีภาษี 66 ที่มีผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 12 ล้านคน และมีผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจริงประมาณ 4 ล้านคน เมื่อใช้ระบบ NIT จะสร้างภาระการยื่นภาษีสำหรับผู้ที่ไม่เคยยื่นภาษีมาก่อนกว่า 50 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มมีรายได้น้อยและไม่มีรายได้ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัด คาดว่าการเตรียมระบบทั้งออนไลน์และออฟไลน์จะมีความยุ่งยากในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจและขั้นตอนต่างๆ รวมถึงมีต้นทุนการจัดการที่สูงมาก
ความท้าทายด้านงบประมาณและการจัดเก็บรายได้
ประเทศที่ใช้ระบบ NIT ในการจ่ายสวัสดิการในโลกมักเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มั่งคั่ง และมีรายได้สูง ทำให้สามารถมีงบประมาณด้านสวัสดิการดูแลประชาชนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ ขณะที่ประเทศไทยมีรายจ่ายประจำ สำหรับใช้ดำเนินงานตามภารกิจปกติของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละปี เช่น เงินเดือนและค่าจ้างบุคลากรภาครัฐ ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้สอยและวัสดุต่างๆ เป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดประมาณ 72% (อ้างอิงงบประมาณปี 2568) ทำให้เกิดคำถามว่าจะเตรียมเงินมากมายมหาศาลมาจากแหล่งใด แม้จะมีส่วนหนึ่งจากระบบสวัสดิการปัจจุบันที่สามารถยุบรวมได้แต่ก็ไม่น่าเพียงพอกับการขยายขนาดกลุ่มผู้รับสวัสดิการจากฐานรายได้ตาม NIT อีกทั้งจากข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่เห็นว่า NIT จะทำให้ผู้มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคธรรมดาเข้าสู่ระบบได้แต่อย่างใด
สำหรับนักวางแผนการเงิน แม้ว่ากลุ่มผู้รับบริการส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้หรือมีเงินออม ไม่น่าจะกระทบกับการมาของระบบ NIT อย่างมีนัยสำคัญ แต่ NIT และระบบที่จะถูกยกเครื่องใหม่ก็อาจส่งผลต่อสวัสดิการที่เคยได้รับบางส่วนทั้งของตัวผู้รับบริการและบุคคลภายใต้การดูแล รวมถึงอาจส่งผลต่อระบบจัดเก็บและเสียภาษีในอนาคตที่อาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ NIT สามารถเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นจากนี้ไปการศึกษาและติดตามความคืบหน้าของ NIT ก่อนประกาศใช้จริงในปีภาษี 2570 จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
How To: เปรียบเทียบทางเลือกในการซื้อประกันสุขภาพ

การเลือกซื้อประกันสุขภาพในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะบริษัทประกันได้ออกผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านการคุ้มครองและงบประมาณของผู้เอาประกัน ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานะทางการเงินของแต่ละบุคคล การเข้าใจความแตกต่างระหว่างแผนต่าง ๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
รูปแบบประกันสุขภาพในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น
- ประกันสุขภาพแบบกำหนดวงเงิน
- มีการกำหนดวงเงินค่ารักษาในแต่ละหมวด เช่น ค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่ายา และค่าหมอ เป็นต้น
- แต่ละหมวดมีวงเงินคุ้มครองสูงสุดแยกจากกัน ไม่สามารถนำวงเงินส่วนที่เหลือจากหมวดหนึ่งมาใช้กับอีกหมวดได้
- เบี้ยปรับเพิ่มตามอายุ (โดยมากทุก 5 ปี)
ข้อดี
- ค่าเบี้ยประกันมักถูกกว่าประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีสวัสดิการจากที่ทำงานอยู่แล้ว และต้องการคุ้มครองเพิ่มเติมในบางหมวด
ข้อเสีย
- หากค่ารักษาเกินวงเงินในแต่ละหมวด ผู้เอาประกันต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนเกินเอง
- ไม่ยืดหยุ่นในกรณีที่ค่ารักษาเน้นไปที่หมวดเดียว เช่น การผ่าตัดใหญ่
2. ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย
- มีการกำหนดวงเงินรวมต่อปี หรือ ต่อครั้งการรักษา ใช้วงเงินเดียวครอบคลุมทุกหมวดค่ารักษา
- เบี้ยปรับเพิ่มตามอายุทุก 5 ปี หรือทุกปี ขึ้นอยู่กับแบบ
ข้อดี
- ยืดหยุ่นสูง ใช้วงเงินรวมได้ตามจริง ไม่จำกัดหมวด
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความอุ่นใจ และไม่อยากกังวลว่าแต่ละหมวดจะเกินวงเงินหรือไม่
ข้อเสีย
- ค่าเบี้ยสูงกว่าประกันแบบกำหนดวงเงิน
- หากใช้บริการโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูง อาจต้องเลือกวงเงินสูง เบี้ยจึงยิ่งสูงตาม และยิ่งอายุมาก เบี้ยก็จะยิ่งสูงมากเป็นเงาตามตัว จึงต้องวางแผนเก็บเงินเพื่อจ่ายเบี้ยประกันหลังเกษียณอายุให้ดี
3. ประกันสุขภาพแบบ UDR (Unit Deducting Rider) ร่วมกับ Unit Linked
- ประกันสุขภาพแบบที่เป็นสัญญาเพิ่มเติมพ่วงกับประกันชีวิตแบบ Unit-Linked ที่มีการจ่ายเบี้ยสุขภาพแบบทยอยหักค่าเบี้ยส่วนประกันสุขภาพออกจากค่าเบี้ยประกันที่จ่ายคงที่เท่ากันทุกปี
- แบบ UDR นี้ แม้จะเป็นค่าเบี้ยคงที่ ไม่ปรับเพิ่มขึ้นตามอายุก็จริง แต่จะมีลักษณะเป็น “ค่าเบี้ยถัวเฉลี่ย” ตลอดอายุรับประกัน ทำให้ช่วงอายุน้อยจะจ่ายเบี้ยสูงกว่าแบบทั่วไป และตอนอายุมากจะจ่ายเบี้ยต่ำกว่าแบบทั่วไป
- มีทั้งแบบกำหนดวงเงินและแบบเหมาจ่าย ในส่วนที่เป็นเบี้ยประกันสุขภาพ ยังเป็นเบี้ยที่จ่ายทิ้งอยู่ดี
ข้อดี
- การบริหารจัดการทำได้ง่าย เนื่องจากเป็นเบี้ยคงที่ตลอดสัญญา ทำให้วางแผนการจ่ายเบี้ยได้ง่ายกว่าแบบที่เบี้ยเพิ่มตามอายุ โดยเฉพาะการวางแผนจ่ายเบี้ยประกันหลังเกษียณอายุ
ข้อเสีย
- จ่ายเบี้ยสูงกว่าที่อายุน้อย หรือหากจ่ายเบี้ยเท่ากันจะได้ความคุ้มครองที่น้อยกว่า แม้ว่าส่วนต่างเบี้ยประกันที่จ่ายเพิ่มจะถูกนำไปลงทุนผ่านกองทุนรวมภายใต้กรมธรรม์ Unit – Linked แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่อยากเน้นประกันสุขภาพที่ความคุ้มครองสูงๆ
- ข้อจำกัดในทางเลือกการลงทุนภายใต้กรมธรรม์ Unit – Linked
- ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เรียกเก็บจากกรมธรรม์ Unit – Linked อาจมากกว่าค่าใช้จ่ายหากนำเงินไปลงทุนเอง
แล้วเราควรจะเลือกซื้อประกันสุขภาพอย่างไรดี?
- สำรวจค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่คิดว่าจะใช้บริการ ว่ามีค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาลทั้งกรณีเจ็บป่วยทั่วไป และกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงว่ามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ เพื่อเป็นการกำหนดวงเงินความคุ้มครองที่เราควรมี
- สำรวจสวัสดิการที่มีอยู่ หากยังทำงานอยู่ และที่บริษัทมีประกันสุขภาพกลุ่มให้ เราก็เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในข้อ 1 ว่ามีเพียงพอหรือไม่ หากไม่พอก็ทำเพิ่มในส่วนที่ขาด อย่างไรก็ตามเมื่อเราเกษียณอายุแล้ว สวัสดิการที่เคยได้รับจากบริษัทก็จะหมดลงตามไปด้วย ซึ่งจุดนี้ล่ะที่เราต้องพิจารณาว่าจะทำประกันสุขภาพที่วงเงินความคุ้มครองเท่าไหร่ดี คำแนะนำ ต้องอย่าลืมพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายเบี้ยด้วย เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว ค่าเบี้ยประกันจะแพงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น
- เปรียบเทียบวงเงินความคุ้มครอง ขอบเขตที่คุ้มครองและเบี้ยประกันภัยของแต่ละบริษัทประกัน เพราะยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เราต้องพิจารณา เช่น บางแบบคุ้มครองการตั้งครรภ์ แต่ว่าถ้าเราต้องการประกันสุขภาพเพื่อใช้หลังเกษียณอายุ เราอาจไม่อยากได้ความคุ้มครองนี้ และเปรียบเทียบความคุ้มครองที่ได้กับเบี้ยประกันที่จ่ายไปว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่
- สุดท้ายก็กลับมาดูความสามารถในการจ่ายเบี้ย หากวางแผนเร็ว เราก็อาจสามารถเตรียมเงินไว้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่แพงได้ทัน (แปลว่าคุณต้องเตรียมกองทุนเพื่อการเกษียณอายุให้มากขึ้น) หรืออาจจะเลือกแบบ UDR ไปเลย ถ้าต้องการจ่ายเบี้ยคงที่ตลอดสัญญา แต่ถ้าคิดว่าเบี้ยประกันนั้นแพงไป เราอาจจะต้องเลือกที่จะเก็บออมเงิน เพื่อรับความเสี่ยงนั้นไว้เองก็ได้
นอกจากวางแผนประกันสุขภาพแล้ว ก็อย่าลืมที่จะวางแผนดูแลตัวเองด้วย เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ซึ่งการดูแลสุขภาพต้องเริ่มวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ลด ละ เลิกสิ่งที่เป็นโทษต่อสุขภาพ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ ซึ่งการดูแลสุขภาพที่ดี จะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยได้ไม่มากก็น้อย และอาจทำให้เรามีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่น้อยกว่าก็เป็นได้
The Interview: วางแผนชีวิตอย่างไรเมื่อต้องอยู่ถึง 100 ปี

บทความสัมภาษณ์ฉบับนี้ เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ อาจารย์รัก ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ รองคณะบดีฝ่ายวิชาการ คณะบริหาร การพัฒนา สิ่งแวดล้อม และเป็นวิทยากรพิเศษด้านการเงินส่วนบุคคล การเงินยั่งยืน การเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม ESG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเงิน ที่จะมาตอบคำถามเกี่ยวกับการวางแผนถ้าเราจะต้องมีชีวิตอยู่จนถึง 100 ปี ซึ่งไม่เพียงต้องเตรียมเรื่องการเงินแต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่จะต้องคำนึงถึงและมีความสำคัญไม่แพ้กัน
- ชีวิต 100 ปีเป็นไปได้จริงหรือ เราเผชิญสภาวะแวดล้อมที่มีทั้งความเครียด ภัยธรรมชาติ โรคภัยต่างๆ ที่จริงแล้วเราน่าจะจากไปไวขึ้นกว่าเดิมไหม สถานการณ์วัยเกษียณของไทยและในอนาคตเป็นอย่างไร
มีข้อมูลจาก U.S. Census Bureau ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี มากเป็นอันดับที่ 5 ของโลก!!! และมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีประชากรอายุเกิน 100 ปี คิดเป็นอัตราส่วนสูงที่สุดในโลก คือ ทุกๆ 10,000 คน จะมีคนไทยสูงวัย อายุเกินร้อยปี จำนวน 49 คน ในขณะที่ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2567) ทุกๆ 10,000 คน ประเทศไทยมีคนอายุเกินร้อยเพียง 5 คน (ที่มา: https://www.brandage.com/article/37884) ข้อมูลนี้เป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันว่า คนไทยอายุยืนมาก ในขณะที่สุขภาพทางการเงินของคนไทยทั่วไปไม่สู้จะแข็งแรงนัก โดยเฉพาะสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ที่สะท้อนความเปราะบางทางการเงินยังน่ากังวล เพราะประมาณ 1 ใน 3 ของคนไทยมีหนี้ในระบบ โดยมูลหนี้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 539,291 บาท และมีหนี้เฉลี่ยมากถึง 3.3 บัญชีต่อคน (ที่มา: กองบรรณาธิการ วารสารพระสยาม, 2566) คงน่ากังวลไม่น้อย หากเราอายุยืนมาก แต่มีสุขภาพทางการเงินที่ไม่แข็งแรงพอ
- เมื่อความเสี่ยงจากการมีอายุยืนถึง 100 ปีเพิ่มขึ้น เราควรรับมืออย่างไร
เราไม่ควรมองว่าการมีอายุยืน ได้อยู่ถึงอายุ 100 ปี เป็นความเสี่ยง แต่ควรมองเป็นโอกาสในการได้ใช้ชีวิตยาวนานขึ้น ควรมองเป็นโอกาสในการที่จะได้สร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม ให้สังคม ได้สร้างความสุข ความสบายใจ ได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน ให้คนใกล้ตัว คนรอบตัว รวมทั้ง มีเวลามากขึ้นในการสร้างบุญบารมีให้ตัวเอง เมื่อมีโอกาสได้อยู่ 100 ปี ก็ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุล 3 ด้าน คือ สุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงิน ที่ต้อง “เอาอยู่ในระยะสั้น และมั่นคงในระยะยาว” ใครที่ยังไม่ได้เริ่มดูแลสุขภาพ หรือยังไม่ได้เริ่มวางแผนการเงิน อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะปัจจุบันสำคัญที่สุด ก็ขอให้เริ่มวันนี้เลย
- เมื่อผู้สูงอายุมักตัดสินใจทางการเงินอย่างอนุรักษ์นิยม (Conservative) ทำให้ไม่กล้าลงทุนที่มีความเสี่ยงขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเงินออมไม่เพียงพอกับการใช้ชีวิตจนถึง 100 ปีแน่ๆ ควรแนะนำอย่างไร
โดยหลักการผู้สูงอายุ ควรจะอนุรักษ์นิยมไม่ควรเสี่ยงมากเกินไป หากเสี่ยงมากเกินไป โดยที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ สถานการณ์ทางการเงินอาจจะแย่กว่าที่คิด หากรู้ตัวว่าเงินจะไม่พอใช้ในวัยเกษียณที่ยาวนาน ก็ควรปรับเป้าหมายทางการเงินให้มีความเหมาะสม ปรับวิถีการใช้ชีวิตให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ค่อยๆ ปรับตัว ลดรายจ่ายไม่จำเป็นลง ขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เลิกสะสมแต่ต้องสะสางข้าวของที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ ปัจจุบันมีช่องทางการทำงานสร้างรายได้ที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ทำมากมาย ซึ่งนอกจากจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผู้สูงอายุมีสังคม มีชีวิตชีวา ได้ออกกำลังกาย ออกกำลังใจ ได้บริหารสมองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การลงทุนของผู้สูงอายุจะเสี่ยงได้มากหรือน้อย จะขึ้นกับทรัพยากรทางการเงิน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมถึง เป้าหมายในการลงทุนของแต่ละคน ที่ควรจะพิจารณารายกรณีไป
- งานวิจัยชี้ว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมักพุ่งสูงในช่วงท้ายของชีวิต เราควรออกแบบการเงินและเครื่องมือประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงนี้อย่างไร หรือควรพึ่งพิงสวัสดิการรัฐไปเลย
ควรพิจารณาเป็นรายบุคคล ขึ้นอยู่กับสุขภาพและความพร้อมทางการเงินของแต่ละคน ใครดูแลตัวเองทางการเงินได้อย่างดี ก็ใช้เงินตัวเอง ใครที่ไม่แน่ใจว่าจะจัดการการเงินได้ถ้ามีปัญหาสุขภาพ ก็ต้องวางแผนประกันให้ครอบคลุมเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินที่อาจจะซ้ำเติมปัญหาสุขภาพ ในภาพรวมจากสถานการณ์ทางการเงินของคนไทยในปัจจุบัน คิดว่าคนไทยกลุ่มใหญ่ๆ ยังคงต้องพึ่งพาสวัสดิการรัฐ
- ด้วยสังคมปัจจุบันมีความเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น หลายครอบครัวเลือกที่จะไม่มีบุตร หรือหากมีบุตรก็มักจะแยกไปอยู่อาศัยต่างหาก ผู้สูงอายุ ควรวางแผนอย่างไรเพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตได้ โดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว
อยากให้เปิดใจพิจารณาบ้านพักผู้สูงอายุ ปัจจุบันบ้านพักผู้สูงอายุพัฒนาไปไกลและครบวงจร ไม่เหมือนบ้านพักคนชราในอดีต ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรหลานหรือไม่มีผู้ดูแล เพราะบ้านพักผู้สูงอายุในปัจจุบันมีความสะดวกสบาย มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ มีคนดูแล มีสังคม มีกิจกรรม มีชีวิตชีวา กระทั่งใครที่มีลูกหลานที่แยกครอบครัวออกไป ก็ไม่ต้องห่วงกังวล สามารถแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนได้เมื่อสะดวก ซึ่งแนวโน้มการอยู่อาศัยในบ้านพักผู้สูงอายุทั่วโลก ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปล่อยวางไม่ยึดติด โดยการบริจาคร่างกาย บริจาคอวัยวะ บริจาคดวงตา ก็เป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุ คลายกังวลได้ทั้งในวันนี้และวันหน้า เพียงเปิดใจยอมรับทางเลือกใหม่ๆ ในชีวิต ผู้สูงอายุก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเบาสบาย
- ผู้สูงอายุควรมีบทบาทในสังคมหรือการทำงาน Part-time ต่อไปหรือไม่ ถ้ามีงานแบบไหนที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
อย่างที่ทราบกันดี ประชากรไทยลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปี 2567 ประชากรเหลือไม่ถึง 66 ล้านคน จากจำนวนเด็กที่เกิดน้อยลง ผู้สูงอายุเยอะขึ้น ทำให้ภาคแรงงานหดตัว ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ผู้สูงอายุจึงควรทำงานไปเรื่อยๆ ในยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือสิงคโปร์ เราจะเห็นผู้สูงอายุยังทำงานอยู่ทั่วไป ทั้งงานประจำและงาน Part-time หรืออายุเกษียณในหลายประเทศในยุโรป ก็ค่อนข้างสูง อย่างเช่น ประเทศเดนมาร์คที่จะค่อยๆ ขยับปรับเพดานอายุเกษียณไปเป็นอายุ 70 ปี ในปี ค.ศ. 2040 จากปัจจุบัน อายุเกษียณของชาวเดนมาร์ค คือ 67 ปี หรือในประเทศไทยเอง เราก็เห็นเจ้าของร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายของชำ ร้านกาแฟ เจ้าของธุรกิจ สูงวัยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การกำหนดอายุเกษียณ มีในระบบราชการและบริษัทเอกชน ที่มักจะมีงานเลี้ยงเกษียณอายุให้เห็นทุกปี จนเราอาจจะคิดไปว่า อายุ 55 ปี อายุ 60 ปี ต้องเกษียณจากการทำงาน จากสถานการณ์ด้านแรงงานในปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นประกาศรับผู้สูงอายุเข้าทำงานมากมาย บริษัทเริ่มเปิดโอกาสรับผู้สูงอายุเข้าทำงาน อย่างเช่น ป้านวล พนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาสีลม ซอย 22 ที่อายุ 80 ปี ป้านวลที่ยังแข็งแรง แข็งขัน ขยันทำงาน ยังหาเงินใช้เอง ยังมีสังคม ยังได้ออกกำลังด้วยการทำงานประจำ หรืออาจารย์อาวุโสอายุ 70 – 80 ปี ยังพบเห็นได้ในหลายมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ คุณหมอสูงวัย เกษตรกรสูงวัย ช่างฝีมือ ดารานักแสดง นักร้องสูงวัย ก็ยังมีอยู่มากมายในสังคมไทย หลายอาชีพ หลายวงการยังมีความต้องการแรงงานสูงอายุ
- อาจารย์รักมีคำแนะนำแก่นักวางแผนการเงินที่จะมีหน้าที่ช่วยลูกค้าวางแผนอย่างไร หากลูกค้ามีโอกาสมีอายุยืนถึง 100 ปี โดยไม่ให้เงินหมดก่อน และยังคงรักษาคุณภาพชีวิตที่ต้องการได้
ตามหลักการวางแผนการเงิน เราจะตั้งต้นที่การสำรวจทรัพยากรทางการเงินของลูกค้า และชวนให้ลูกค้าตั้งเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องสำหรับลูกค้าทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด นักวางแผนการเงินมีหน้าที่สำคัญในการฉายภาพอนาคตทางการเงินให้ลูกค้าเห็นชัดๆ และสร้างสมดุลทางการเงินทั้งในวันนี้และวันหน้าให้ลูกค้า การที่จะรักษาคุณภาพชีวิตตามที่ลูกค้าต้องการ จึงเป็นไปบนทรัพยากรทางการเงินของลูกค้า ที่นักวางแผนการเงินจะต้องสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ลูกค้าเห็นภาพที่ชัดเจน และปรับจูนให้เกิดความคาดหวังที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้จริง ซึ่งหากลูกค้ามีทรัพยากรจำกัด อาจจะออกแบบแผนการเงิน หลายๆ ทางเลือก ให้ลูกค้าเข้าใจภาพในอนาคตก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ นักวางแผนการเงินต้องทำความเข้าใจสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ๆ ในโลกยุคใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการวางแผนการเงินแก่ลูกค้า
- นักวางแผนการเงินมีส่วนในการให้คำแนะนำเรื่องการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร ระหว่างการสร้างผลตอบแทนเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ กับการรักษาความมั่นคงและกระแสเงินสดประจำในระยะยาว และควรเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินใดบ้าง
เพื่อให้ลูกค้ามีแผนการเงินที่สมดุล และมั่นคงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทุกแผนการเงินต้องระเบิดจากข้างใน เริ่มต้นจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทรัพยากร ความรู้ ความสามารถ ศักยภาพที่ลูกค้ามี กำหนดเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจนก่อนทำแผน อย่างไรก็ดี โลกหลังจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน เราจะได้เห็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ท่ามกลางความผันผวนในโลกการเงิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากฝีมือมนุษย์ ดังนั้น แผนการเงินที่ดีจึงต้องเป็นแผนที่ยืดหยุ่น โดยนักวางแผนการเงินสามารถประยุกต์ใช้หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดพอร์ตให้ลูกค้าทุกคนได้
ที่มา: อัจฉรา โยมสินธุ์ หลักสูตรลงทุนพอเพียง มั่งคั่ง ยั่งยืน SET E-learning (2565)
- อาจารย์รักมีคำแนะนำทิ้งท้ายสำหรับคนไทยที่ต้องใช้ชีวิต 100 ปีอย่างไรบ้าง
การอยู่ร้อยปี ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพียงสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตให้ได้ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงิน ช่วงสุดท้ายในชีวิตควรสร้างอิสรภาพทางจิตวิญญาณตามแนวทางของศาสนาที่นับถือ ปล่อยวาง ไม่ยึดติด เตรียมตัวเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายในชีวิต
อาจารย์รัก ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นักคิด นักเขียน ที่ปรึกษา วิทยากรด้านการเงินส่วนบุคคล การเงินพอเพียง การเงินยั่งยืน
Infographic: ข้อมูลผู้เกษียณอายุจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ณัฐพงษ์ อภินันท์กูล CFP®

ตารางสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ปี 2568


โครงการพัฒนา TFEX Prop Trade 2025 "TFEX NEXT GEN: Road to Prop Trader"
