วารสาร TFPA Magazine
วารสาร TFPA Magazine ฉบับที่ 2 เดือนมิถุนายน 2568
- สารจากนายกสมาคม
- What’s On
- Cover Story: ความท้าทายค่าใช้จ่ายสุขภาพ ในช่วงชีวิตหลังเกษียณ
- Sharing of Experience: การรับมือกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อต่อบำนาญหลังเกษียณ
- New Product: ประกันบำนาญ: เสาหลักพอร์ตเกษียณที่วัยเก๋าวางใจ
- How To: การสร้างสัมพันธ์กับผู้เกษียณ: “เกษียณจากงาน ไม่ได้แปลว่าเกษียณจากการใช้ชีวิต... และความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าคือพลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
- The Interview: “เส้นทางการสร้างผู้เชี่ยวชาญการวางแผนการเงินหลังเกษียณ : Post Retirement Planning Specialist: PRS”
- Infographic: จำนวนประชากรผู้สููงอายุุ ในแต่ละจังหวัด
- ตารางสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ปี 2568
- โอกาสทำกำไรรูปแบบใหม่ เริ่มได้ที่ Options Wizard
สารจากนายกสมาคม
สวัสดีเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP® และคุณวุฒิวิชาชีพที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของเพื่อนสมาชิก พันธมิตรองค์กร และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนคุณวุฒิวิชาชีพนี้ให้เติบโต และเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย
หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญของสมาคมฯ คือ การต้อนรับนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT รุ่นใหม่ ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาชีพนักวางแผนการเงิน โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP จำนวน 27 คน และที่ปรึกษาการเงิน AFPT จำนวน 91 คน นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังจัดกิจกรรมเสริมความรู้ให้กับเพื่อนสมาชิกทุกเดือน อาทิ CFP® Professional Forum และจัดกิจกรรม Financial Planning Clinic เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับคำปรึกษาวางแผนการเงินจากนักวางแผนการเงิน CFP โดยตรง
ด้านความร่วมมือกับพันธมิตร สมาคมฯ ได้ขยายเครือข่ายและความร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพื่อยกระดับความรู้เรื่องการวางแผนการเงินให้กับสมาชิก กบข. การลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา และผลิตบุคลากรในวิชาชีพด้านการเงิน การรับรองสถาบันอบรม เอวีพี อะคาเดมี (AVP Academy) เป็นสถาบันจัดอบรมหลักสูตรวางแผนการเงิน CFP แห่งใหม่ เพื่อพัฒนาและสร้างนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT ที่มีคุณภาพ พร้อมรองรับความต้องการการวางแผนการเงินที่เติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สมาคมฯ ยังเดินหน้าผลักดันโครงการ "หมอหนี้นักวางแผนการเงิน CFP® และที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ อาสา" อย่างต่อเนื่อง เป็นรุ่นที่ 2 โดยในไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้จัดอบรมสู่ระดับภูมิภาค เริ่มจากภาคใต้ เพื่อสร้างเครือข่ายหมอหนี้อาสาที่สามารถช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาหนี้สินให้สามารถกลับมาตั้งหลักทางการเงินได้อีกครั้ง
ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณคณะกรรมการ อนุกรรมการ สมาชิกสมาคม รวมถึงเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจของสมาคมให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในอนาคตต่อไป เพื่อร่วมกันส่งเสริมวิชาชีพนักวางแผนการเงินให้เป็นแรงผลักดันให้คนไทยมีฐานะการเงินที่มั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไปครับ
ด้วยความนับถืออย่างยิ่ง
วิโรจน์ ตั้งเจริญ
นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
What’s On
กิจกรรม Financial Planning Clinic
สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจัดกิจกรรม Financial Planning Clinic เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้รับคำปรึกษาวางแผนการเงินจากนักวางแผนการเงิน CFP แบบตัวต่อตัวทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 มีนักวางแผนการเงิน CFP อาสา 19 คนร่วมให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 19 คน
กิจกรรม CFP® Professional Forum ครั้งที่ 4/2568 และ 5/2568
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจัดกิจกรรม CFP® Professional Forum ครั้งที่ 4/2568 หัวข้อ “DR ทางเลือกใหม่ กระจายพอร์ตสู่ตลาดโลก” วิทยากรโดย คุณต่อตระกูล สัตยาประเสริฐ Head of Structuring and Products Development ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และคุณภาดล วรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และคุณนฤมล บุญสนอง กรรมการสมาคมฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 916 คน
ต่อเนื่องในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จัดกิจกรรม ครั้งที่ 5/2568 หัวข้อ “Thai ESGX – เข้าใจให้ครบ ใช้สิทธิ์ให้คุ้ม” โดยคุณวรรัตน์ ปังวรกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายธนบดีธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และคุณเสกสรร โตวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด มีสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 789 คน
กิจกรรมทั้งสองครั้งจัดในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกอัปเดตความรู้และเก็บชั่วโมงการพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง (Continuing Professional Development – CPD) เพื่อใช้สำหรับการต่ออายุคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT
สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ร่วมงาน SET in the City 2025
สมาคมนักวางแผนการเงินไทยเข้าร่วมงานมหกรรมการลงทุน SET in the City 2025 ในวันที่ 14–15 มิถุนายน 2568 ณ มิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 โดยจัดบูธให้ความรู้เรื่องการวางแผนการเงิน พร้อมประชาสัมพันธ์คุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP ภายในบูธมีกิจกรรมตอบคำถามลุ้นรางวัล และมุมกิจกรรม CFP Professional Corner สำหรับให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจวางแผนการเงิน และผู้ที่สนใจเส้นทางอาชีพนักวางแผนการเงิน CFP พร้อมเชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม Financial Planning Clinic วันที่ 28 มิถุนายน 2568 นอกจากนี้ นักวางแผนการเงิน CFP ยังได้ร่วมบรรยายบนเวทีสัมมนาและในห้องเวิร์กช็อป ได้แก่ คุณมยุรี โชวิกรานต์ ร่วมบรรยายในหัวข้อ "ถอดสูตรเลือกหุ้น (แบบคนรุ่นใหม่) ลงทุนไม่หลงทาง" และ คุณนฤมล บุญสนอง ร่วมเป็นวิทยากร workshop “Upskill มือใหม่ใช้ TFEX เสริมพอร์ตแกร่ง ด้วย Futures”
สมาคมฯ เผยแพร่คลิปรายการ “เรื่องเงินยังไงดี นักวางแผนการเงิน CFP® มีคำตอบ”
สมาคมนักวางแผนการเงินไทยเผยแพร่คลิปวิดีโอให้ความรู้เรื่องการวางแผนการเงินกับประชาชนทั่วไป ผ่านรายการ “เรื่องเงินยังไงดี นักวางแผนการเงิน CFP® มีคำตอบ” ได้รับเกียรติจากนักวางแผนการเงิน CFP มาร่วมให้ความรู้ สามารถติดตามรับชมคลิปวิดีโอหัวข้อต่างๆ เช่น หัวข้อ “เข้าใจ Copayment ง่ายๆ ใน 3 นาที” โดยคุณสุรกิจ พิทักษ์ภากร และหัวข้อ “วางแผนการเงินสำคัญอย่างไร? แล้ววางแผนกับนักวางแผนการเงินดียังไง?” โดย ผศ.ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล สามารถรับชมคลิปวิดีโอตอนอื่นๆ ได้ทาง Facebook และ YouTube สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
Cover Story: ความท้าทายค่าใช้จ่ายสุขภาพ ในช่วงชีวิตหลังเกษียณ
วางแผนเพื่อการเกษียณอายุ คำนี้เชื่อว่าหลายคนนึกถึงขั้นตอนการประเมินค่าใช้จ่ายที่ต้องการใช้หลังเกษียณ อายุขัยคาดหมาย อัตราเงินเฟ้อ และแผนการลงทุนเพื่อให้มีเงินก้อนเพียงพอกับค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันหลังเกษียณ และอาจรวมไปถึงการจัดหาที่พักอาศัยใหม่ในรูปแบบชุมชนผู้สูงอายุ สำหรับคนเกษียณที่มีสถานะโสดหรือไม่คาดหวังพึ่งพาบุตรหลาน อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ นักวางแผนการเงิน CFP® และที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ สามารถคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้รับคำปรึกษาและสมมติฐานที่กำหนด
แต่สำหรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ นอกจากเป็นค่าใช้จ่ายที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายทั่วไป โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-8% ต่อปี (ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทั่วไปมักตั้งสมมติฐานการเพิ่มขึ้นไว้ที่ 3% ต่อปี) ยังมีค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วยที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือตั้งสมมติฐานในการวางแผนได้ ซึ่งนี่คือหนึ่งในความท้าท้ายขนาดใหญ่ที่ นักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT ต้องเตรียมพร้อม เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้รับคำปรึกษา ที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ไม่น้อยไปกว่านักวางแผนการเงิน รวมถึงข้อจำกัดที่ต้องวางแผนเกษียณไปพร้อมกับเป้าหมายทางการเงินอื่นในชีวิตด้วย สำหรับความท้าทายในการวางแผนรับมือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในช่วงวัยเกษียณนั้น หลักๆ อาจประกอบด้วย 3 ความท้าทายหลัก ได้แก่
I: อัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายสุขภาพ/รักษาพยาบาล ที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายทั่วไป
ปัจจุบันแม้ไม่มีข้อมูลทางสถิติจากหน่วยที่เป็นทางการว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นที่อัตราเฉลี่ยกี่ %ต่อปี เนื่องจากค่าใช้จ่ายประเภทนี้มีโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น ค่าห้องพักและค่าบริการที่ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล ค่ารักษาที่ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่เสมอรวมถึงความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้การรักษา ผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบความต้องการด้านค่าใช้จ่ายที่ปีละ 3 แสนบาทเท่ากัน ซึ่งเป็นมูลค่า ณ ปลายปีที่อายุ 60 ปี เงินก้อนที่ต้องมีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายสุขภาพ และค่าใช้จ่ายประจำวัน ตลอด 25 ปี ตั้งแต่ต้นปีที่อายุ 61-85 ปี จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามตารางแนบ (เงินก้อนที่ต้องมี สำหรับค่าใช้จ่ายปีละ 3 แสนบาท ระยะเวลา 25 ปี) ซึ่งเห็นได้ว่าหากค่าใช้จ่ายสุขภาพสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% และ 8%ต่อปี ผู้รับคำปรึกษาต้องตั้งเป้าหมายทางการเงินขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 12,427,338 บาท และ 18,786,973 บาทตามลำดับ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าค่าใช้จ่ายประจำวันที่ปกติสูงขึ้นเฉลี่ย 3%ต่อปี ประมาณ 1.30-1.96 เท่า หากหลังเกษียณนำเงินก้อนดังกล่าวไปฝากธนาคารที่อัตราดอกเบี้ยสุทธิ (หลังหักภาษี) เฉลี่ย 1%ต่อปี แต่หากหลังเกษียณเลือกนำเงินไปลงทุนทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงต่ำในระดับที่คนวัยเกษียณยอมรับได้ เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนสุทธิ (หลังหักภาษี ถ้ามี) เฉลี่ย 3%ต่อปี จะเหลือตั้งเป้าหมายเป็นจำนวน 9,537,934 บาท และ 14,033,976 บาทตามลำดับ หรือประมาณ 1.27-1.87 เท่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายประจำวัน
เงินก้อนที่ต้องมี สำหรับค่าใช้จ่ายปีละ 3 แสนบาท ระยะเวลา 25 ปี |
|||
|
อัตราผลตอบแทน (%ต่อปี) |
||
เงินฝาก |
ตราสารหนี้ |
||
อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย (%ต่อปี) |
1% |
3% |
|
ค่าใช้จ่ายทั่วไป |
3% |
9,584,829 |
7,500,000 |
ค่าใช้จ่ายสุขภาพ |
5% |
12,427,338 |
9,537,934 |
8% |
18,786,973 |
14,033,976 |
II: ขนาดเป้าหมายการเงิน ไม่ได้ขึ้นกับผู้รับคำปรึกษา
ในวันที่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล ผู้รับคำปรึกษาซึ่งอยู่ในฐานะผู้ป่วย มักไม่มีสิทธิหรืออำนาจต่อรองเรื่องค่าใช้จ่ายนัก อาจเลือกได้เพียงจะรักษากับสถานพยาบาลรัฐ หรือสถานพยาบาลเอกแห่งใด โดยอาจเลือกรูปแบบการรักษาได้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่าง %ความสำเร็จ ความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง ระยะเวลาพักฟื้น เป็นต้น ส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละทางเลือกมักถูกกำหนดโดยมาตรฐานทางการแพทย์ที่เลือกและสถานพยาบาล
โดยหนึ่งในปัจจัยที่ถูกใช้เลือกรับการรักษา คือ สินทรัพย์หรือความสามารถทางการเงินที่ผู้รับคำปรึกษามี ณ ขณะนั้น หากไม่ได้วางแผนรองรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ ทางเลือกในการรักษาก็อาจน้อยลง และถือเป็นความยากที่จะกำหนดมูลค่าการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละครั้ง เพราะอาจไม่สามารถคาดการณ์รูปแบบและเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เลย
III: ความเสี่ยงการเจ็บป่วย ไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าสิ้นอายุขัย
ไม่เพียงแต่ค่ารักษาแต่ละครั้งที่ประเมินได้ยาก จำนวนครั้งในการเจ็บป่วยก็เป็นสิ่งที่ไม่มีทางคาดการณ์ได้ เพราะคนเราแม้เจ็บป่วยนอนรักษาตัวไปแล้วเมื่อต้นปี ก็ใช่ว่าระหว่างปีจะไม่มีโอกาสเจ็บป่วยได้อีก หรือโรคร้ายบางอย่าง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เมื่อเคยรักษาหายไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังมีโอกาสกลับมาเจ็บป่วยด้วยโรคเดิมได้อีก
ในฐานะนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT อาจทำได้เพียงการตั้งสมมติฐานที่คาดว่าจะครอบคลุมเท่านั้น เช่น สมมติฐานว่าจะมีการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายทุกปี มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละหรือครั้งละ 3 แสนบาท ค่าใช้จ่ายที่ว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นปีละ 8%ต่อปี โดยมีการสำรองเงินส่วนนี้ไว้ในทางเลือกที่ปลอดภัยสภาพคล่องสูงอย่างเงินฝาก ที่อาจให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 1%ต่อปี ทำให้ผู้รับคำปรึกษาต้องวางแผนตั้งเป้าหมายให้มีเงินก้อนสูงถึง 19 ล้านบาท ตอนอายุ 60 ปี (เทียบเท่าเป้าหมายการใช้จ่ายปีแรก เดือนละ 49,000 บาท) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเป้าหมายที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มารับคำปรึกษากับนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงการวางแผนรับมือค่าใช้จ่ายสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล ทั้งผู้รับคำปรึกษา รวมถึง นักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT มักนึกถึงเครื่องมือที่ใช้จัดการความเสี่ยง ที่เรียกว่า “ประกันสุขภาพ” อย่างไรก็ดีประกันสุขภาพอาจไม่ได้เหมาะกับผู้รับคำปรึกษาทุกคน ไม่เพียงแต่คนที่มีประวัติสุขภาพจนไม่สามารถทำประกันได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีความสามารถในการชำระเบี้ยที่จำกัด โดยเฉพาะในช่วงท้ายของชีวิตค่าเบี้ยอาจอยู่ที่กว่าครึ่งล้านต่อปีได้ ดังนั้นหากนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPTจะนำประกันสุขภาพที่มีวงเงินคุ้มครองหลัก 5-20 ล้านบาทขึ้นไป มาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นทุกปีไปจนถึงผู้รับคำปรึกษาอายุ 85-99 ปี มีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและวางแผนเพิ่ม ดังนี้
I: ค่าใช้จ่ายแฝง ที่ประกันสุขภาพไม่ครอบคลุม
ตัวอย่างเช่น ค่าเดินทางเพื่อไปติดตามอาการ ค่าแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี ค่าอุปกรณ์เสริมด้านสุขภาพ ฯลฯ ที่ล้วนไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาลโดยตรง และไม่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล ที่ประกันสุขภาพทั่วไปอาจไม่คุ้มครอง เช่น การรักษามะเร็งด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ค่าล้างไต และการรักษาอื่นๆ ที่ไม่ต้องนอนเป็นผู้ป่วยใน เป็นต้น ที่รวมแล้วอาจเป็นค่าใช้จ่ายหลักหมื่นหรือหลักแสนต่อปีได้ รวมไปถึงการรักษาที่ยังไม่ถือเป็นความจำเป็นทางการแพทย์ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ที่แม้ผู้ป่วยจะร้องขอให้ผ่าตัด แต่หากอาการยังไม่รุนแรงก็ยังต้องรักษาด้วยวิธีอื่น หากต้องการผ่าตัดก็ไม่สามารถเบิกค่ารักษาจากประกันสุขภาพได้ เป็นต้น
II: ความมั่นคงของบริษัทประกัน
บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย คือ บริษัทเอกชนบริษัทหนึ่ง ที่โลกของการลงทุนก็มีความเสี่ยงในแง่ของความมั่นคงที่ดูได้จากงบการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ดูได้จากอันดับความน่าเชื่อถือหรือ Credit Rating หรือแม้แต่องค์กรกึ่งรัฐเองที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าอาจมีความเสี่ยงทางด้านการเงินในไม่ช้าหากไม่มีปรับเปลี่ยนบางอย่าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทประกันที่ทำประกันสุขภาพไว้จะมีความเสี่ยงที่อาจเลิกกิจการหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ยืนยาวตลอดอายุขัยของผู้เอาประกัน แม้บริษัทประกันที่ว่าจะเป็นบริษัทประกันที่ติดลำดับ Top ของประเทศไทยก็ตาม
จึงไม่ควรใช้ประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือวางแผนค่าใช้จ่ายสุขภาพช่วงวัยเกษียณเพียงเครื่องมือเดียว แต่ควรมีแหล่งเงินทุนสำรองบางส่วนคู่กันไปด้วย
III: ต้นทุน ค่าเบี้ยประกันช่วงเกษียณอายุ
อย่างที่ นักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT รู้ว่าค่าเบี้ยประกันสุขภาพแทบทุกแบบประกัน มีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยอย่างน้อยทุก 5 ปี หรือบางแบบประกันอาจทยอยเพิ่มขึ้นทุกปี ยกตัวอย่างเช่น สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง ที่นอกจากคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั่วไปกรณีผู้ป่วยใน ยังคุ้มครองการรักษามะเร็งด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) และการล้างไต ด้วยวงเงินกว่า 10 ล้านบาทต่อปีกรมธรรม์ ที่ค่าเบี้ยในช่วงอายุน้อยถึงกลาง ยังไม่สูงมาก เช่น อายุ 30 ปี และ อายุ 40 ปี ค่าเบี้ยอยู่ที่ปีละ 25,000 บาท และ 30,000 บาท ตามลำดับ แต่เมื่ออายุมากขึ้น เช่น อายุ 70 ปี 80 ปี และ 90 ปี ค่าเบี้ยสูงถึง 140,000 บาท 240,000 บาท และ 350,000 บาท ตามลำดับ โดยในช่วงอายุมากกว่า 95 ปี ค่าเบี้ยสูงถึงประมาณปีละ 500,000 บาท ทำให้ค่าเบี้ยช่วงอายุ 61-98 ปี รวมแล้วสูงถึงเกือบ 10 ล้านบาท
หากผู้รับคำปรึกษาต้องการใช้ประกันสุขภาพดังกล่าว เป็นหนึ่งในเครื่องมือรองรับค่ารักษาพยาบาลปีละหลัก 10 ล้านบาททุกปีกรมธรรม์ ก็ต้องมีการตั้งเป้าหมายมีเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ณ วันที่เกษียณ นอกเหนือจากเป้าหมายการใช้จ่ายปกติหลังเกษียณ ซึ่งต้องมาพร้อมกับแผนสำรองเพื่อรับมือในกรณีบริษัทประกันเลิกกิจการระหว่างทาง และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ที่ประกันสุขภาพไม่ครอบคลุมด้วย
ค่าใช้จ่ายสุขภาพช่วงชีวิตหลังเกษียณ อีกหนึ่งความท้าทายที่นักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT ต้องเผชิญในการให้คำแนะนำผู้รับคำปรึกษา ที่อาจไม่มีศาสตร์ตายตัวสำหรับผู้รับคำปรึกษาทุกคน เสมือนเป็นอีกหนึ่งเสื้อผ้าที่ต้องสั่งตัด ด้วยการออกแบบให้เหมาะกับความสามารถทางการเงิน ระดับคุณภาพการรักษาหรือบริการ และจังหวัดหรือพื้นที่พักอาศัยของผู้รับคำปรึกษา ควบคู่ไปกับสมมติฐานและภาพรวมแนวโน้มบริการด้านสุขภาพที่ไม่มีวันหยุดนิ่งด้วย
Sharing of Experience: การรับมือกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อต่อบำนาญหลังเกษียณ
การวางแผนการเงินในช่วงหลังเกษียณมีความท้าทายหลายประการ ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น รวมถึงความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด แนวคิด “การสร้างรายได้เพื่อรองรับกับรายจ่ายพื้นฐาน”(Income Flooring) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นให้ผู้เกษียณมีรายได้ประจำที่แน่นอนเพียงพอกับรายจ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าที่อยู่อาศัย อาหาร ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตอื่นๆ) ตลอดช่วงเกษียณอายุ โดยอาศัยแหล่งรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น เงินบำนาญภาครัฐ บำนาญประกันสังคม เงินงวดแบบบำนาญ หรือรายได้ประจำอื่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายพื้นฐานในแต่ละเดือน แนวทางนี้ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ เพราะไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะผันผวนไปอย่างไร รายได้ส่วนนี้จะยังคงมีความต่อเนื่องและมั่นคง
แนวทาง “Income Flooring” จะมีการแบ่งรายจ่ายเป็นสองประเภท ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ซึ่งจะถูกนำไปจับคู่กับรายได้ประจำที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอ และ ค่าใช้จ่ายตามรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต้องการ (Life Style) ที่มีความยืดหยุ่นได้ เช่น ค่าเดินทางท่องเที่ยว ค่าดูแลสุขภาพส่วนเพิ่มเติม ซึ่งสามารถใช้เงินส่วนที่เหลือ หรือจากเงินลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงสูงขึ้นมาจัดสรรพอร์ตการลงทุนตามความสามารถในการรับความเสี่ยง สำหรับการสร้างรายได้ประจำที่ต้องการความสม่ำเสมอนั้น เครื่องมือทางการเงินที่สามารถนำมาใช้ในการวางแผนอาจเป็นเงินบำนาญที่มาจากภาครัฐ เช่น บำนาญข้าราชการ บำนาญประกันสังคม บำนาญกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ เงินบำนาญที่มาจากการสะสมด้วยตัวเอง เช่น ประกันแบบบำนาญ (Annuity) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกโดยบริษัทประกันชีวิต
เงินบำนาญจากภาครัฐมีความมั่นคงสูงและความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากรัฐเป็นผู้จ่ายและรับประกัน อายุการจ่ายเป็นไปตลอดชีพของผู้รับบำนาญ และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอายุยืน กล่าวคือ ไม่ว่าผู้เกษียณจะมีอายุยืนถึง 90 หรือ 100 ปีก็จะยังมีรายได้จากเงินงวดนี้ต่อไป ต่างจากเงินก้อนที่อาจถูกถอนใช้หมดก่อนสิ้นอายุขัย นอกจากนี้ การได้เงินเป็นงวดยังช่วยสร้างวินัยการใช้เงินหลังเกษียณ เพราะได้รับเป็นงวดสม่ำเสมอแทนที่จะได้เป็นเงินก้อนใหญ่ ทว่าเงินบำนาญในประเทศไทยไม่มีการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ หากเป็นจำนวนเงินเท่ากันไปตลอดช่วงเกษียณอายุ ต่างไปจากในต่างประเทศบางแห่ง เช่นในสหรัฐอเมริกา ระบบประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา เป็นรูปแบบของ “เงินงวดตลอดชีพที่ปรับตามเงินเฟ้อ” เนื่องจากจ่ายรายเดือนไปตลอดชีวิตผู้รับและมีการปรับเพิ่มให้ทุกปีตามดัชนีค่าครองชีพ ซึ่งช่วยรักษามูลค่าที่แท้จริงของบำนาญ
เมื่อบำนาญที่ได้รับไม่มีการปรับตามเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินบำนาญลดลงตามเวลา ผู้รับบำนาญจึงเผชิญความเสี่ยงที่รายได้จะถูกเงินเฟ้อลดทอนกำลังซื้อไปเรื่อย ๆ หากไม่มีทรัพย์สินส่วนอื่นมาสร้างรายได้เสริม และหากอัตราเงินเฟ้อในบางช่วงพุ่งสูงอย่างผิดปกติ (เช่น กรณีเงินเฟ้อพุ่งสูงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ) ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ของผู้มีรายได้คงที่ ตัวอย่างเช่น หากผู้เกษียณอายุรับบำนาญในปีที่เกษียณอายุ 10,000 บาทต่อเดือนมูลค่าของเงินจะลดลงตามระยะเวลาที่ผ่านไปดังแสดงใน “ตารางมูลค่าของเงิน 10,000 บาทตามอัตราเงินเฟ้อและระยะเวลา”
มูลค่าของเงิน 10,000 บาทตามระยะเวลา (ปี) |
|||||
เงินเฟ้อต่อปี |
5 |
10 |
20 |
30 |
40 |
1% |
9,515 |
9,053 |
8,195 |
7,419 |
6,717 |
2% |
9,057 |
8,203 |
6,730 |
5,521 |
4,529 |
3% |
8,626 |
7,441 |
5,537 |
4,120 |
3,066 |
การคำนวณแสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อแท้จริงของเงินบำนาญถูกกัดกร่อนด้วยอัตราเงินเฟ้อเมื่อระยะเวลาผ่านไป โดยกำลังซื้อจะเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเมื่อระยะเวลาผ่านไป 20 กว่าปี (ประมาณ 24 ปี) สำหรับสมมติฐานอัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี หรือ 30 กว่าปี (ประมาณ 36 ปี) สำหรับสมมติฐานอัตราเงินเฟ้อ 2% ต่อปี ในการที่จะรักษาอำนาจในการใช้จ่าย ผู้รับบำนาญจึงต้องมีเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ
หนึ่งในทางเลือกสำหรับการคำนวณหาเงินทุนเพิ่มเติม คือการหามูลค่าปัจจุบันของเงินบำนาญที่จะได้รับด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนโดยไม่ปรับเงินเฟ้อ เทียบกับมูลค่าปัจจุบันของอัตราผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Adjusted Return) เพื่อหาว่าจะต้องมีส่วนต่างที่เป็นเงินทุนชดเชยเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าใด
ตารางแสดงการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงินบำนาญ 10,000 บาทด้วยผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนร้อยละ 4 ต่อปี เปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1 – 3
จำนวนเงินบำนาญ 10,000 บาท/เดือน เป็นระยเวลา 25 ปี |
||||
อัตราเงินเฟ้อ |
ไม่มี |
1% |
2% |
3% |
ผลตอบแทนปรับเงินเฟ้อ |
4% |
2.97% |
1.96% |
0.97% |
มูลค่าปัจจุบัน |
1,900,840 |
2,120,887 |
2,373,834 |
2,664,877 |
ส่วนต่าง (เงินทุนที่มีเพิ่ม) |
220,047 |
472,994 |
764,037 |
จากตารางหากสมมติฐานอัตราเงินเฟ้อหลังเกษียณอยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อปี กรณีผู้รับบำนาญแบบคงที่จำนวน 10,000 บาท/เดือน จะต้องเตรียมเงินทุนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยเงินเฟ้อจำนวนประมาณ 473,000 บาท สำหรับการใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 25 ปีหลังเกษียณ ในการประยุกต์ใช้แนวทางการรับมือกับความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อต่อเงินบำนาญตามแนวคิด Income Flooring สามารถพิจารณาตามกรณีตัวอย่าง
ผู้รับบำนาญอายุ 60 ปี ได้รับบำนาญเดือนละ 20,000 บาท มีเงินก้อนจาก กบข. RMF และมูลค่าปัจจุบันของเงินบำเหน็จดำรงชีพ รวม 3,000,000 บาท มีความต้องการค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 25,000 บาทต่อเดือน จากสมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนหลังเกษียณ 4% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อ 2% ต่อปี และอายุขัย 85 ปี จากตารางเปรียบเทียบจำนวนเงิน 10,000 บาท ประเมินได้ว่าจะต้องมีเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อจากเงินบำนาญประมาณ 946,000 บาท (472,994 x 2)
เมื่อผู้เกษียณมีเงินก้อนจำนวน 3,000,000 บาท เมื่อหักส่วนชดเชยอัตราเงินเฟ้อ 946,000 บาทจึงเหลือเงินทุนนำมาจัดสรรพอร์ตการลงทุนได้จำนวน 2,054,000 บาท ตามสมมติฐานข้างต้นจะสามารถใช้เงินส่วนนี้ได้เดือนละประมาณ 8,650 บาท (PV= 2,054,000 | I = 1.96%/12 | N = 25x12 | คำนวณหา PMT BGN Mode) ดังนั้นผู้เกษียณต้องการ Income Flooring จำนวน 25,000 บาทต่อเดือน จะมีส่วนที่มาจากเงินบำนาญ 20,000 บาท และการถอนเงินจากพอร์ตการลงทุน 5,000 บาท (ถอนเพิ่มขึ้นทุกปีโดยคิดจากเงินเฟ้อ 25,000 บาทต่อเดือน) โดยสามารถมีเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อความต้องการอีกเดือนละประมาณ 3,650 บาท หรือปีละ 43,680 บาท
Income Flooring หรือการสร้างรายได้ขั้นต่ำที่มั่นคงในวัยเกษียณ เป็นกลยุทธ์สำคัญที่นักวางแผนการเงินสามารถพิจารณาในการจัดทำแผนเกษียณให้แก่ผู้รับคำปรึกษา ผู้เกษียณที่มีรายได้พื้นฐานจากแหล่งที่แน่นอน (เช่น บำนาญภาครัฐ ประกันสังคม หรือรายได้ประจำอื่นๆ ที่มั่นคง) ย่อมมีความอุ่นใจและความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น สามารถดำรงชีวิตในยามเกษียณได้โดยไม่ต้องกังวลว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นจะไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม การวางแผนรายได้เกษียณไม่อาจหยุดอยู่ที่การมีรายได้ขั้นต่ำคงที่เท่านั้น ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และเศรษฐกิจยังคงเป็นความเสี่ยงระยะยาวที่ต้องได้รับการวางแผน ผู้วางแผนการเงินจะต้องผสานการสร้างรายได้ขั้นพื้นฐานเข้ากับกลยุทธ์ป้องกันเงินเฟ้อ ผ่านการจัดพอร์ตสินทรัพย์ที่เหมาะสม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์การเงินที่มีผลตอบแทนคาดหวังสูงกว่าเงินเฟ้อในระยะยาว และการปรับทบทวนแผนตามสถานการณ์อยู่เสมอเพื่อให้สามารถรักษามาตรฐานการครองชีพที่ต้องการได้ตลอดช่วงชีวิต
New Product: ประกันบำนาญ: เสาหลักพอร์ตเกษียณที่วัยเก๋าวางใจ
“เงินที่มี…จะพอใช้ไปตลอดชีวิตหรือไม่” เชื่อว่าเป็นคำถามที่ทุกคนต้องเผชิญในวันที่ก้าวออกจากชีวิตการทำงาน เพราะแม้รายได้จะหยุดลง แต่ในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายต่างๆ ยังคงดำเนินต่อ ทั้งค่าครองชีพ ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทำให้การบริหารเงินที่มีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่การใช้เงินก้อนที่มีให้หมดไปแบบช้าๆ แต่คือ “กลยุทธ์” ในการเปลี่ยนเงินก้อนที่มี มาเป็นกระแสเงินสดที่ยั่งยืน และด้วยประกันบำนาญแบบมีเงินปันผล (Participating Policy) หรือ Par จะเป็นตัวช่วยที่ “การันตี” ว่าเราจะมีรายได้หลังเกษียณอย่างเพียงพอ พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุนของบริษัทประกัน ช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงเพื่อสอดคล้องกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ เงินเฟ้อ และอายุขัยที่ยาวนานขึ้น และถ้าเรามีการวางแผนที่ดี ผลตอบแทนจากประกันบำนาญแบบ Par อาจสูงถึง 4-5% ต่อปี ในขณะที่ความเสี่ยงยังต่ำอีกด้วย
ข้อมูลจาก United Nations หรือ UN พบว่า ในปัจจุบันอายุไขเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 76 ปี และจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 82 ปี ในปี 2050 นั่นเท่ากับว่าหลังจากเกษียณอายุเรายังต้องใช้ชีวิตอยู่อีกกว่า 20 ปีโดยไม่มีรายได้ แต่กลับกันในฝั่งของค่าใช้จ่ายนั้นยังคงมีอยู่ เพราะถึงแม้ค่าใช้จ่ายบางรายการจะลดลง อาทิ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง และค่าเดินทาง แต่มีค่าใช้จ่ายหลายรายการเช่นกันที่จะเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน โดยเราอาจประมาณการค่าใช้จ่ายในช่วงหลังเกษียณ จากอัตราส่วนทดแทน หรือ Replacement Ratio ที่ระดับ 70 - 80% ของค่าใช้จ่ายในช่วงก่อนเกษียณอายุ เท่ากับว่าหากช่วงก่อนเกษียณเรามีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนที่ 40,000 บาท เราจะต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณที่ราว 30,000 บาทไปตลอดชีวิตและตรงนี้เองที่ประกันบำนาญแบบ Par จะเข้ามาช่วยวัยเก๋าทุกท่าน
ด้วยลักษณะของประกันบำนาญที่จะมีการ “การันตี” การจ่ายเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 60 ปี จนถึงอายุ 99 ปีในปัจจุบัน (ขึ้นอยู่กับแบบประกัน) และการที่เป็นประกันแบบ Par เรายังมีโอกาสได้รับเงินบำนาญเพิ่มพิเศษ หรือ เงินปันผล เพิ่มเติมจากเงินบำนาญก้อนเดิมอีกด้วย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากการลงทุนที่บริษัทประกันสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น
นางสาว A อายุ 40 ปี ต้องการจะวางแผนเกษียณด้วยประกันบำนาญ โดยต้องการกระแสเงินสด 120,000 บาทต่อปี (เดือนละ 10,000 บาท) และเลือกชำระเบี้ยครั้งเดียวที่ 2,400,000 บาท โดยมีเงินบำนาญเพิ่มพิเศษจากผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยต่อปีที่ 5% จะสามารถสรุปผลประโยชน์ที่นางสาว A ได้รับ ดังนี้
ตาราง 1: ตัวอย่างตารางแสดงสรุปกรรมธรรม์ประกันบำนาญแบบ Participating Policy (Par)
Source: TISCO Wealth Advisory
จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าผู้เอาประกันมีโอกาสได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมเป็นจำนวนเงินที่สูงจากเงินบำนาญพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นหากแบ่งรอบการชำระเบี้ยประกันเป็นแบบรายปี อาทิ 5 ปี, 10 ปี, หรือจนกว่าจะอายุ 60 ปี จะช่วยเพิ่มประโยชน์และความคล่องตัวให้กับผู้เอาประกันอย่างมาก เนื่องจาก
- บริหารกระแสเงินสดได้ง่ายกว่า
- ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ทันที
- เหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำ หรือเจ้าของกิจการที่ต้องกระจายภาระจากค่าเบี้ยประกั
- ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ทุกปี
- เบี้ยประกันที่ชำระในแต่ละปีสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุดถึงปีละ 300,000 บาท
- มีเวลาตัดสินใจระหว่างทาง
- ถ้าภายหลังไม่สามารถชำระประกันต่อได้ ยังมีโอกาสเวนคืนหรือเปลี่ยนเงื่อนไขได้
- ช่วยลดความเสี่ยงหากสถานะการเงินในอนาคตเปลี่ยนไป
การวางแผนพอร์ตเกษียณด้วยประกันบำนาญแบบ Par บวกกับผลประโยชน์ด้านภาษีจะหนุนให้ผลตอบแทน (IRR) ที่ผู้เอาประกันได้รับอาจสูงถึง 3 - 5% ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวของบริษัทเอกชน, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวมถึงกองทุนรวมผสม (Multi - strategy Fund) หรือแม้กระทั่งหุ้นปันผลที่จ่ายเงินปันผลให้ในระดับสูง แต่กลับต้องแลกมาด้วยความผันผวนของราคาหุ้นที่สูงเช่นเดียวกัน ในขณะที่ระดับความเสี่ยงของประกันบำนาญจะต่ำกว่าแล้วผมตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ทำให้การเลือกใช้ประกันบำนาญแบบ Par จึงตอบโจทย์วัยเกษียณที่ยังมีรายจ่าย อีกทั้งยังรับความเสี่ยงได้ต่ำ
เพราะความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ไม่ได้เริ่มต้นที่ “เงินเท่าไร” แต่เริ่มที่ “เราวางแผนไว้ดีแค่ไหน” การวางแผนให้มี “กระแสเงินสดที่แน่นอน” คือหัวใจของพอร์ตเกษียณ และ ประกันบำนาญแบบมีปันผล (Par) คือเครื่องมือที่ผสมผสานความมั่นคงเข้ากับโอกาสเติบโตได้อย่างลงตัว จนกลายเป็น “เสาหลัก” ของวัยเกษียณได้อย่างแท้จริง
How To: การสร้างสัมพันธ์กับผู้เกษียณ: “เกษียณจากงาน ไม่ได้แปลว่าเกษียณจากการใช้ชีวิต... และความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าคือพลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
เมื่อเป้าหมายชีวิตเปลี่ยน บทบาทของนักวางแผนการเงินก็เปลี่ยนตาม
ผู้เกษียณ (retirees) คือกลุ่มลูกค้าที่มีความท้าทายเฉพาะตัว และในขณะเดียวกันก็มี “ศักยภาพ” ที่มักถูกมองข้าม นักวางแผนการเงินหลายคนอาจคุ้นชินกับการสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation) ให้กับคนวัยทำงาน แต่เมื่อถึงวัยเกษียณ เป้าหมายเปลี่ยน...ความสัมพันธ์ก็ต้องเปลี่ยนตาม
ช่วงเวลานี้คือการส่งต่อความมั่นใจ ไม่ใช่เพียงให้พอร์ตทำงานแทนเงินเดือน แต่คือการทำให้ลูกค้า “ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีศักดิ์ศรี” ด้วยการเข้าใจมุมมองใหม่ และการดูแลด้วยหัวใจ
3 ความกลัวหลักในวัยเกษียณ ผ่านเลนส์ของการวางแผนการเงิน
- กลัวเงินไม่พอใช้ตลอดชีวิต (Fear of Outliving Their Savings)
- ลูกค้าหลายคนเก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิต แต่เมื่อไม่มีรายได้ประจำ ความกลัวที่ว่าเงินจะหมดก่อนหมดลมหายใจคือสิ่งที่อยู่ในใจเสมอ
- หน้าที่ของนักวางแผนการเงิน คือการแปลง “ความกลัว” เป็น “แผน” ที่จับต้องได้ เช่น การสร้างกระแสเงินสดรายเดือนจากสินทรัพย์ หรือแบบจำลองการใช้เงินที่เข้าใจง่ายและสื่อสารได้ชัด
- กลัวสูญเสียการควบคุมทรัพย์สินและการตัดสินใจ (Fear of Losing Control Over Their Wealth)
- บางคนเกษียณแล้วถูกลูกหลานหรือคนรอบข้างตัดสินใจแทนโดยไม่ตั้งใจ การวางแผนที่ดีควรเปิดพื้นที่ให้ลูกค้ายังรู้สึกว่า “ฉันเป็นเจ้าของชีวิต” เช่น การใช้พินัยกรรม (Living Will), หรือแผนแบ่งทรัพย์สินที่เคารพและสอดคล้องความตั้งใจของลูกค้า
- กลัวถูกลืมจากที่ปรึกษาที่เคยไว้ใจ (Fear of Being Abandoned by Their Financial Planner)
- เมื่อลูกค้าไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือขยายพอร์ตอีกต่อไป หลายคนกลัวว่า Financial Planner จะลดการใส่ใจ
- ความสม่ำเสมอในการสื่อสารคือหัวใจ เช่น การอัปเดตเล็กๆ รายไตรมาส หรือคำแนะนำด้านไลฟ์สไตล์ เช่น สิทธิสวัสดิการผู้สูงอายุ หรือประกันสุขภาพที่เหมาะสม
- ช่องทางที่เหมาะสม เช่น ใช้โทรศัพท์ ส่งการ์ดวันเกิด หรือส่งบทความผ่าน LINE โดยไม่ต้องมีผลิตภัณฑ์
5 แนวทางสร้างสัมพันธ์: มากกว่าคำว่า “ระลึกถึง”
- สื่อสารอย่างสม่ำเสมอด้วยความใส่ใจ
- การโทรศัพท์ไปทักทาย ส่งข้อความ หรือการเขียนจดหมายด้วยลายมือ เป็นสิ่งเล็กๆ แสดงถึงความใส่ใจ ไม่ใช่แค่ความจำเป็น
- เชิญชวนให้กลับมามีบทบาท
- ให้โอกาสผู้เกษียณได้เป็นที่ปรึกษา วิทยากร หรือผู้แบ่งปันประสบการณ์ในองค์กรหรือกับคนรุ่นใหม่ จะช่วยฟื้นความภาคภูมิใจในตนเอง และรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า
- รับฟังด้วยใจ ไม่ใช่แค่หู
- ผู้เกษียณบางคนอาจอยากเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่คือ “คำขอเล็กๆ” ที่ต้องการให้ใครสักคนยืนยันว่าเรื่องราวเหล่านั้นยังมีความหมาย
- สร้างกิจกรรมที่ร่วมทำได้
- เช่น การจัดงานพบปะประจำปี กลุ่มอ่านหนังสือ กลุ่มอาสา หรือแม้แต่กลุ่มออนไลน์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน เช่น สุขภาพ หรือการลงทุน
- มองเห็นอนาคตไปด้วยกัน
- การสร้างความหวังในอนาคต เช่น ชวนผู้เกษียณวางแผนเที่ยว วางแผนสุขภาพ หรือแม้แต่วางแผนการส่งต่อมรดก เป็นการยืนยันว่า “คุณยังเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตของเรา”
บริหารเวลาอย่างไรกับลูกค้าผู้เกษียณให้พอดี
การดูแลลูกค้าผู้เกษียณอาจไม่ได้มีดีลใหญ่หรือความเคลื่อนไหวในพอร์ตมากเท่าคนวัยทำงาน แต่ความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องคือความมั่นคงของความไว้วางใจ นักวางแผนควรจัดสรรเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้สัมพันธ์ยังคงอบอุ่นและมีคุณภาพ โดยไม่กระทบกับลูกค้ากลุ่มอื่น
แนวทางบริหารเวลาแบบ “Balance & Care”
ช่วงเวลา |
เป้าหมายของการติดต่อ |
แนวทาง |
รายไตรมาส |
Update ภาพรวมพอร์ต / เช็ค cashflow |
นัดพบ 30–45 นาที หรือโทร/video call |
รายปี |
ทบทวนแผนการใช้เงิน / ทบทวนความต้องการใหม่ |
จัด Annual Review อย่างเป็นทางการ พร้อมรายงาน |
เหตุการณ์เฉพาะ (As needed) |
ปรับแผนเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษา, การส่งต่อมรดก |
เตรียมเวลาสำรองเฉพาะกลุ่ม VIP หรือ HNW |
รายเดือน (Optional) |
Line ทักทาย แชร์บทความที่เกี่ยวข้อง |
ใช้ระบบ Automation หรือผู้ช่วยช่วยดูแลเบื้องต้น |
ความสัมพันธ์ไม่เกษียณ: จากทรัพย์สิน สู่คุณค่าของชีวิต
การดูแลผู้เกษียณคือโอกาสในการเปลี่ยนบทบาทจาก “นักวางแผนการเงิน” สู่ “เพื่อนคู่คิดในชีวิตบทถัดไป” ความสำเร็จของแผนการเงินไม่ใช่เพียงพอร์ตโต แต่คือความรู้สึกที่ลูกค้าใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ
“การที่ลูกค้ากล้าพูดว่า ‘ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ แม้ฉันไม่รู้จะลงทุนอะไรอีก’ คือรางวัลที่นักวางแผนการเงินคู่ควรได้รับ”
การสร้างสัมพันธ์กับผู้เกษียณไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือ โอกาส ในการเชื่อมต่อระหว่างรุ่น ส่งต่อความรู้สึกดี และสร้างสังคมที่ทุกวัยมีคุณค่า
ความผูกพันที่เราปลูกไว้กับผู้เกษียณในวันนี้ อาจกลายเป็นแบบอย่างความสัมพันธ์ที่เราจะได้รับคืนในวันหนึ่งที่เราก้าวเข้าสู่วัยเดียวกัน
The Interview: “เส้นทางการสร้างผู้เชี่ยวชาญการวางแผนการเงินหลังเกษียณ : Post Retirement Planning Specialist: PRS”
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น คือการดูแลความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดทุนและสังคมโดยรวม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในฐานะองค์กรที่ดูแลการพัฒนาตลาดทุนไทย ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาหลักสูตร Post Retirement Planning Specialist: PRS เพื่อเสริมสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินหลังเกษียณอายุอย่างครบวงจร ตอบโจทย์ทั้งการดูแลผู้สูงอายุ และการยกระดับมาตรฐานบริการทางการเงินของตลาดทุนไทย
บทความนี้ทีมบรรณาธิการได้รับเกียรติจาก คุณพรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา CFP® ผู้ช่วยผู้จัดการตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาพูดคุยถึงความเป็นมา แนวคิด และบทบาทสำคัญของหลักสูตร PRS ในการสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุไทยในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงข่าวดีสำหรับพวกเราชาว นักวางแผนการเงิน CFP® และ ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™
บรรณาธิการ : สวัสดีครับ คุณพรรณวดี ก่อนอื่น อยากให้เล่าถึงที่มาของการพัฒนาหลักสูตรการวางแผนและการบริหารการเงินหลังเกษียณ หรือ Post Retirement Planning Specialist: PRS ให้เราฟังหน่อยได้มั้ยครับ
คุณพรรณวดี : “แรงบันดาลใจสำคัญของการพัฒนาหลักสูตร PRS มาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรของประเทศเราค่ะ ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว เมื่อสิ้นปี 2567 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนถึง 20% ของประชากรทั้งประเทศ และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 26.6% ช่วงปีที่สำคัญคือช่วงระหว่างปี 2506–2526 เป็นช่วง 20 ปี ที่เรียกว่า “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” คือมีเด็กที่เกิดในแต่ละปีมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งกำลังทยอยเข้าสู่วัยเกษียณ ตั้งแต่ปี 2566-2586 ทำให้จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้สูงอายุเองก็มีบทบาทสำคัญในตลาดทุน โดยสิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่าผู้ลงทุนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถือครองมูลค่าการลงทุนสะสมในกองทุนรวมสูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งประเทศเลยค่ะ แต่กลุ่มผู้สูงอายุก็ถือเป็นกลุ่มเปราะบาง จึงจำเป็นต้องได้รับความรู้และการดูแลด้านการวางแผนการเงินที่เหมาะสม
และเหตุผลที่สำคัญมากคือ ประเทศเรายังไม่มีหลักสูตรอบรมเฉพาะด้านที่มุ่งเน้นการวางแผนการเงินหลังเกษียณแบบองค์รวมสำหรับคนกลุ่มนี้เลย การพัฒนาหลักสูตร PRS จึงตอบโจทย์ทั้งในมุมการสร้างความเชี่ยวชาญให้กับที่ปรึกษาทางการเงิน และการขยายโอกาสการเข้าถึงความรู้สำหรับผู้สูงอายุโดยตรง ซึ่งเชื่อมั่นว่าหลักสูตรนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการและช่วยสร้างความมั่นคงในช่วงบั้นปลายชีวิตให้กับคนกลุ่มนี้ได้โดยตรง”
บรรณาธิการ : ฟังดูแล้วเป็นหลักสูตรที่จำเป็นและตอบโจทย์บริบทของสังคมไทยมากทีเดียวครับ แล้วหลักสูตร PRS ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำขึ้นนี้ มีแนวทางหรือกระบวนการพัฒนาอย่างไรบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “สำหรับหลักสูตร PRS เราได้วางแนวทางการพัฒนาเป็น 3 ขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าหลักสูตรจะครอบคลุม และประยุกต์ใช้ได้กับบริบทของผู้สูงอายุในประเทศไทยจริง ๆ
ขั้นแรก เราเริ่มจากการศึกษาและเปรียบเทียบหลักสูตร Post Retirement Planning ที่สำคัญในต่างประเทศ อย่างเช่น CRPC, RMA และ RICP ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เน้นพัฒนาที่ปรึกษาทางการเงินด้านการวางแผนหลังเกษียณในสหรัฐอเมริกา แม้บริบทจะต่างกัน แต่ก็เป็นต้นแบบที่ดีในการนำแนวคิดมาปรับใช้ให้เข้ากับสังคมไทย
ขั้นที่สอง คือการตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษียณ โดยเราเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้สูงอายุ กฎหมายครอบครัว ภาษีและมรดก การจัดการความเสี่ยง หรือการวางแผนการลงทุน มาร่วมกันกำหนดโครงสร้างเนื้อหาและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมในทุกมิติ
และขั้นสุดท้าย คือความร่วมมือกับสมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเนื้อหา และคัดเลือกวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ รวมไปถึงสถาปนิกที่ออกแบบที่อยู่อาศัย เพื่อให้ผู้ที่เรียนจบหลักสูตรนี้ได้รับทั้งสาระที่เป็นวิชาการ และยังสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
ทั้งสามขั้นตอนนี้ ทำให้หลักสูตร PRS มีความสมบูรณ์ ครอบคลุมทั้งองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการวางแผนการเงินหลังเกษียณแบบองค์รวมอย่างเป็นระบบในประเทศไทยค่ะ”
บรรณาธิการ : ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดโครงสร้างหรือรูปแบบการอบรมของหลักสูตร PRS อย่างไรบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “เราออกแบบให้เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างเนื้อหา 3 ส่วนหลัก ๆ รวมทั้งสิ้น 45 ชั่วโมงค่ะ โดยเราใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบ Blended Learning ผสมผสานทั้ง e-Learning, Online Classroom (Live) และการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้รับทั้งความรู้เชิงทฤษฎีและประสบการณ์เชิงปฏิบัติจริง
ในส่วนแรก เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านการบริหารการเงินหลังเกษียณ ครอบคลุมเรื่องแนวคิดการวางแผนการเงินหลังเกษียณ การจัดการแหล่งเงินทุนหลังเกษียณ การจัดการและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงหลังเกษียณอายุ กลยุทธ์การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การบริหารพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณ และการวางแผนการใช้เงินหลังเกษียณ โดยเรียนผ่าน e-Learning รวม 12 ชั่วโมง
ส่วนที่สอง เป็นความรู้เฉพาะด้านเพื่อการวางแผนการเงินหลังเกษียณ เช่น การดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาล และทางเลือกในการใช้สิทธิประโยชน์การดูแลและรักษาสุขภาพผู้สูงอายุ การจัดการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สิน และการวางแผนมรดก การจัดการสิทธิประโยชน์หลังเสียชีวิต การทำพินัยกรรม และการจัดทำ Living Will ซึ่งส่วนนี้มีทั้ง e-Learning 12 ชั่วโมง และการเรียนผ่าน Online Classroom (Live) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถซักถามและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง 9 ชั่วโมง รวมระยะเวลาสำหรับส่วนที่สอง 21 ชั่วโมง
ส่วนที่สาม เน้นการฝึกปฏิบัติจริง (Workshop) ผ่านกรณีศึกษา การเรียนรู้เทคนิคและรับฟังประสบการณ์เกี่ยวกับ Ethical and Critical Issues ในการให้บริการวางแผนการเงินหลังเกษียณ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับผู้รับคำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ ส่วนนี้เรียนในรูปแบบ Classroom รวม 12 ชั่วโมงค่ะ
ดังนั้น หลักสูตร PRS จะไม่ใช่แค่การเรียนรู้ผ่านออนไลน์อย่างเดียว แต่ผู้เข้าอบรมจะได้ฝึกปฏิบัติจริง ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ และเข้าใจประเด็นสำคัญเชิงลึก ซึ่งเราเชื่อว่าการออกแบบเช่นนี้จะช่วยยกระดับผู้เข้าอบรมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินหลังเกษียณที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้สูงอายูได้อย่างมืออาชีพ”
บรรณาธิการ : น่าสนใจมากครับ แล้วหลักสูตร PRS เหมือนหรือแตกต่างจากหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP อย่างไรบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “หลักสูตร PRS และหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาความรู้ด้านการวางแผนการเงินเหมือนกันค่ะ แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ที่ “ช่วงชีวิต” ของผู้รับคำปรึกษา และ “เนื้อหาหลักของหลักสูตร” ที่โฟกัสไปที่กลุ่มผู้ที่เกษียณอายุหรือใกล้เกษียณอายุ อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
ถ้าดูในรายละเอียด หลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP โดยเฉพาะใน Module 4 จะเน้นการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมตัวเกษียณ เหมาะสำหรับช่วงที่ผู้รับคำปรึกษายังทำงานอยู่ ต้องการวางแผนเงินออมและการลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคต
แต่สำหรับหลักสูตร PRS เราออกแบบมาเฉพาะสำหรับช่วงชีวิต “หลังเกษียณ” โดยตรงค่ะ เนื้อหาจะเน้นการวางแผนการใช้จ่าย การจัดการแหล่งเงินทุนหลังเกษียณ การดูแลสุขภาพ การจัดการที่อยู่อาศัย รวมถึงการวางแผนส่งต่อทรัพย์สิน เช่น การจัดการกฎหมายมรดก Living Will และการวางแผนดูแลช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของผู้สูงอายุในประเทศไทย นอกจากนี้ PRS ยังออกแบบให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติ (Workshop) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ฝึกการวางแผนกับผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรียนเชิงทฤษฎีค่ะ
หรืออาจจะบอกได้ว่าหลักสูตร PRS เป็นหลักสูตรที่ต่อยอดความรู้จากหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการดูแลผู้สูงอายุหลังเกษียณ โดยมุ่งเน้นการวางแผนการเงินหลังเกษียณแบบองค์รวมและการให้คำปรึกษาที่เหมาะสมกับบริบทในสังคมไทยค่ะ”
บรรณาธิการ : มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสามารถเข้าเรียนหลักสูตร PRS ไว้อย่างไรบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “เรากำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าอบรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรเลยค่ะ เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อ “ต่อยอดความรู้” สำหรับบุคลากรที่มีพื้นฐานด้านการวางแผนการเงินอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ที่จะสมัครเรียนหลักสูตร PRS แบบ Full Course ได้ ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP Module 1 – 4 หรือได้รับคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP หรือที่ปรึกษาการเงิน AFPT ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP ครบทั้ง 4 Module เรียบร้อยแล้วค่ะ
แต่เพื่อให้หลักสูตรนี้เข้าถึงกลุ่มคนที่สนใจทั่วไปด้วย เราจึงเปิดหลักสูตร PRS แบบ Partial Course ซึ่งเน้นการเรียนผ่าน e-Learning ดังนั้น กลุ่มผู้แนะนำการลงทุน (IC) ผู้วางแผนการลงทุน (IP) หรือบุคคลทั่วไปที่อยากเพิ่มความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงินหลังเกษียณ ก็สามารถเลือกเรียนเฉพาะเนื้อหาใน Pack 1 (ความรู้พื้นฐาน) หรือ Pack 2 (ความรู้เฉพาะด้าน) ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP มาก่อนค่ะ ทั้งนี้ IC และ IP ที่เข้าอบรมหลักสูตร Partial Course สามารถนำชั่วโมงอบรมไปนับชั่วโมงต่ออายุใบอนุญาตได้อีกด้วยนะคะ ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่สนใจได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองด้วยค่ะ”
บรรณาธิการ : ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร PRS จะได้รับประโยชน์อะไรบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร PRS จะได้รับประโยชน์ในหลายด้านเลยค่ะ
ข้อแรก คือได้รับความรู้และทักษะการวางแผนการเงินหลังเกษียณอย่างครบวงจร ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดการแหล่งเงินทุน การบริหารความเสี่ยง การวางแผนด้านสุขภาพ การดูแลที่อยู่อาศัย รวมถึงการวางแผนส่งต่อมรดก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้สูงอายุโดยตรง
ข้อสอง ผู้เข้าอบรมยังจะได้ฝึกปฏิบัติจริงผ่าน Workshop และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งช่วยให้เข้าใจประเด็น Critical Issues และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงและการให้คำปรึกษาได้อย่างมั่นใจ
ข้อสาม คือสามารถนำชั่วโมงอบรมไปนับเป็นชั่วโมงต่ออายุใบอนุญาต IC, IP รวมถึงต่ออายุคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพของผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน
และสุดท้ายค่ะ หลักสูตรนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การให้คำปรึกษา แต่ยังช่วยให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้ในการวางแผนการเงินหลังเกษียณของตัวเองและครอบครัวได้ด้วย ทำให้การใช้ชีวิตหลังเกษียณมั่นคงและมีคุณภาพยิ่งขึ้นค่ะ”
บรรณาธิการ : คำถามสุดท้ายขอถามแทนผู้อ่านที่สนใจอยากอบรมหลักสูตร PRS นะครับ ว่าตัวหลักสูตรจะเริ่มเปิดรับสมัครเมื่อไร และจะติดตามข้อมูลข่าวสารความคืบหน้าของหลักสูตรนี้ได้ทางไหนบ้างครับ?
คุณพรรณวดี : “หลักสูตร PRS จะเริ่มเปิดประชาสัมพันธ์และรับสมัครรุ่นแรกในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ค่ะ โดยรุ่น Full Course เราจะจัดปีละ 2 รุ่น รุ่นละไม่เกิน 60 คน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนอย่างมีคุณภาพ ส่วนในรูปแบบ Partial Course ที่เป็น e-Learning จะไม่มีการจำกัดจำนวนผู้สมัคร ทำให้ผู้ที่สนใจสามารถเรียนได้ตามความสะดวกของตัวเองค่ะ
สำหรับผู้ที่อยากติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดรับสมัคร สามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์ของสมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อได้ตามรายละเอียดนี้เลยค่ะ:
- สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) โทร. 02-009-9393 อีเมล: info@tfpa.or.th
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โทร. 02-009-9845 อีเมล: preechaki@set.or.th
เรายินดีและพร้อมต้อนรับทุกท่านที่สนใจมาร่วมพัฒนาความรู้ด้านการวางแผนการเงินหลังเกษียณไปด้วยกันค่ะ”
ทางทีมบรรณาธิการต้องขอขอบคุณ คุณพรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา CFP® ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ให้เกียรติมาแบ่งปันข้อมูลและมุมมองต่าง ๆ ทำเห็นถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินหลังเกษียณในสังคมไทย และแนวทางการพัฒนาหลักสูตร Post Retirement Planning Specialist: PRS ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ร่วมกันพัฒนาขึ้นมา โดยที่หลักสูตร PRS มุ่งเน้นที่จะการสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินหลังเกษียณแบบองค์รวม และต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศไทย รวมถึงสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุไทยได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ในทุกมิติ
Infographic: จำนวนประชากรผู้สูงอายุในแต่ละจังหวัด
เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®
ตารางสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP® ปี 2568
โอกาสทำกำไรรูปแบบใหม่ เริ่มได้ที่ Options Wizard