บทความ: ภาษีและมรดก
หากต้องจากไป จะส่งต่อทรัพย์สินอย่างไรไม่ให้ตกหล่น
โดย นิราวัลย์ ธรรมศิริเจริญ ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™
สมมติว่าวันนี้เราเผลอหลับไป แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เราสร้างและสะสมมา เช่น เงินสด ที่ดิน ธุรกิจ หุ้น เครื่องประดับ ของสะสม ฯลฯ จะตกไปอยู่กับใคร?
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านจากทรัพย์สินไปเป็นมรดก มักจะมีบางส่วนที่หายไป เช่น ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนทรัพย์สิน หากทรัพย์มรดกนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็ต้องชำระภาษีก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรมหรือทายาท ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกิดความล่าช้า และทรัพย์สินอาจไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สิน หากไม่มีการวางแผนที่ดี
การตกทอดของมรดก ไม่ใช่มีเพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงหนี้สินด้วย หากเจ้ามรดกมีหนี้สิน ก็ต้องนำหนี้สินมาหักออกจากทรัพย์สิน แล้วจึงส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรม หรือ ทายาทโดยธรรมตามลำดับ
หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม หรือไม่ได้มีการเตรียมการใดๆ ทรัพย์มรดกจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับ
มรดก ซึ่งมี 6 ลำดับดังนี้ (ป.พ.พ. 1629) 1. ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน เหลน) 2. บิดา มารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย 6. ลุง ป้า น้า อา การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ทายาทที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีทายาทลำดับก่อนหน้า ตามหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” ยกเว้นทายาทลำดับ 1 จะไม่ตัดทายาทลำดับที่ 2 แต่ถ้าเจ้ามรดกไม่เหลือใคร ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน
กรณีเจ้ามรดกมีคู่สมรส จะมีการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นสินส่วนตัว และสินสมรส โดยคู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่ง 50% ของสินสมรสไปก่อน ส่วนแบ่งอีก 50% ของสินสมรส และสินส่วนตัวของเจ้ามรดก จะถือเป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทตามลำดับ กรณีไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คู่สมรสจะได้รับมรดกทั้งหมด (ป.พ.พ. 1635)
โชคดีที่วันนี้เราได้ตื่นมาอีกครั้ง ถ้าเราไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกหล่น หรือตกไปยังคนที่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้คนในครอบครัวทะเลาะกัน เรากำหนดได้ว่าจะให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปอยู่กับใคร โดยการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หรือวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า
การจัดการทรัพย์สิน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1) การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต : เจ้าของทรัพย์สินโอนหรือให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินของตนแก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิต
2) การจัดการมรดก : เจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน (มรดก) ของตน โดยให้มีผลหลังจากตนเสียชีวิตแล้ว กรณีที่มีพินัยกรรม กฎหมายให้แบ่งทรัพย์ที่กำหนดในพินัยกรรมให้ผู้รับพินัยกรรมก่อน หากมีทรัพย์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม จะแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย
การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้
1. การกระจายทรัพย์สินให้สมาชิกครอบครัว ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
- การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ
- การให้สิทธิในการใช้หรือหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น
สิทธิอาศัย : ให้สิทธิพักอาศัยในโรงเรือน
สิทธิเหนือพื้นดิน : ให้สิทธิปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์บนที่ดิน
สิทธิเก็บกิน : ให้สิทธิในการใช้ ครอบครอง และถือเอาประโยชน์โดยไม่จำกัด
2. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือครองทรัพย์สิน เช่น บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองเงินทุน (Equity Holding Company) หรือ บริษัท โฮลดิ้งที่ถือครองตัวทรัพย์สิน (Asset Holding Company) ซึ่งเป็นการแยกทรัพย์สินของครอบครัวออกจากกิจการของครอบครัว เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ของบริษัทที่ประกอบกิจการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของครอบครัว ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกครอบครัวก่อหนี้ส่วนตัว เจ้าหนี้ของสมาชิกครอบครัวก็ไม่สามารถเรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินกิจการของครอบครัวชำระหนี้ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวได้เช่นกัน และสามารถสร้างกฎระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินผ่านข้อบังคับของบริษัทโฮลดิ้งได้ และอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากรด้วย
3. บริหารทรัพย์สินโดยใช้ธรรมนูญครอบครัว ธรรมนูญครอบครัว คือเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของสมาชิกครอบครัว ซึ่งกำหนดหลักในการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ และการปฏิบัติตนต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ และบุคคลภายนอก ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกำหนดให้สมาชิกในครอบครัวปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่เลือกไว้ได้
ขั้นตอนการวางแผนมรดก
1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ ตราสารทุน เงินลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์ เอกสารแสดงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น ๆ พร้อมระบุประเภท ชนิด และจำนวน รวมทั้งหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ
2. รวบรวมข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีเครือญาติและผู้ที่อยู่ในความดูแล อาชีพ รายละเอียดของกิจการและโครงสร้างการถือหุ้น
3. เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิตและการจัดการมรดก โดยคำนึงถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ข้อพิจารณาทางภาษี และข้อพิจารณาอื่น ๆ
- ข้อพิจารณาทางกฎหมาย
การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต จะใช้สัญญาเป็นเครื่องมือจัดการ ที่จะมีผลบังคับทันที ซึ่งหากสัญญาเกิดสมบูรณ์แล้วจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการมรดก จะใช้พินัยกรรมเป็นเครื่องมือในการจัดการ และเกิดผลบังคับเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ซึ่งแก้ไขได้ตลอดเวลาในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่
- ข้อพิจารณาทางภาษี
กรณีมีการให้หรือโอนทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิต ให้แก่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือโอนให้บุคคลอื่น เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ผู้รับโอนทรัพย์สิน จะต้องเสียภาษีการรับให้ (Gift Tax) 5% กรณีมีการโอนมรดกหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต หากผู้รับโอนเป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะต้องเสียภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) 5% หรือหากผู้รับโอนเป็นบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีการรับมรดก 10% ของทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
- ข้อพิจารณาอื่น ๆ
ผลกระทบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว หากมีการจัดการขณะมีชีวิต เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยได้ แต่หากมีผลกระทบหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทจะต้องตกลงกันเอง ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินต่อไปในอนาคต หากผู้รับโอนยังเป็นผู้เยาว์ จะทำให้การจัดการทรัพย์สินยุ่งยาก เพราะการจัดการบางอย่างต้องขออนุญาตจากศาล
ณ วันนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิต เราสามารถเลือกได้ว่า ภาพฝันที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่เราจากไปเป็นอย่างไร ทรัพย์สินที่สร้างและสะสมมา ทำอย่างไรให้ไม่ตกหล่น และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ตามความต้องการ หากมีการวางแผนมรดก และส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ
*อ้างอิงข้อมูลจาก CFP ชุดวิชาที่ 5 การวางแผนภาษีและมรดก
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th