บทความ: ลงทุน
เทคนิคการซื้อขายกองทุนรวมแบบ DCA
โดย ฉัตรี ชุติสุนทรากุล กวางแผนการเงิน CFP®
DCA ตัวย่อของคำเต็ม ๆ ว่า Dollar-Cost Averaging คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย โดยจะลงทุนด้วยเงินลงทุนจำนวนเท่า ๆ กัน ในแต่ละงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาของสินทรัพย์ลงทุน ณ ขณะนั้น ซึ่งเป็นการตัดปัจจัยทางด้านอารมณ์ความรู้สึกออกไป ทำให้นักลงทุนได้ลงทุนสม่ำเสมอเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว เพราะในความเป็นจริงแล้วเมื่อกองทุนรวมมีผลการดำเนินงานปรับลดลงก็ไม่สามารถทำนายได้ว่าวันไหนจะลงต่ำสุด เช่นเดียวกัน เมื่อกองทุนรวมเป็นขาขึ้นก็อาจพลาดในการได้ซื้อในราคาที่ดี
ตัวอย่าง
คุณ A : เมื่อวานนี้ตัดสินใจซื้อกองทุน XYZ เต็มที่ เพราะเห็นราคาปรับลดลงมา แต่วันนี้ราคากองทุนปรับลดลงต่อสัปดาห์ถัดไปราคากองทุนก็ยังคงปรับลดลงต่อ
คุณ B : เมื่อวานนี้ตัดสินใจซื้อกองทุน XYZ ด้วยการแบ่งเงินซื้อครึ่งหนึ่ง และบอกตัวเองว่าเดือนหน้า หากราคากองทุนปรับลดลงอีกก็จะแบ่งเงินเพื่อซื้อเพิ่ม
คุณ C : เมื่อวานนี้เห็นราคากองทุน XYZ ปรับลดลง แต่ประเมินว่าราคาน่าจะยังคงปรับลดลงต่อได้อีก จึงยังไม่ซื้อ และอีก 1 เดือนต่อมา ราคาเริ่มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงไม่ได้ซื้อ
มาถึงจุดนี้ หลายคนตัดสินใจต้องการลงทุนกองทุนแบบ DCA จึงเกิดคำถามว่า
- 1. ควร DCA บ่อยแค่ไหน รายปี รายเดือน หรือรายสัปดาห์
- 2. ควร DCA วันไหนของสัปดาห์ โดยวันที่เลือกตัดบัญชีมีผลกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ DCA จริงหรือ
- 3. เมื่อ DCA ไปแล้ว กองทุนติดลบ สามารถเปลี่ยนกองได้หรือไม่ หรือควรทำอย่างไร
ก่อนตอบคำถามเหล่านี้ ควรทำการทดสอบแบบ Backtest โดยใช้หลักการทางสถิติมาช่วยในการตัดสินใจ (ทั้งนี้ข้อมูลในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต) โดยขอยกตัวอย่างการทำแบบทดสอบ ดังนี้
- 1. ทดสอบกับกองทุนรวม SSF ที่ลงทุนในตราสารทุนไทย จำนวน 3 กองทุน จาก 3 บลจ. โดยมีเงื่อนไขในการเลือก ดังนี้
- เริ่มจัดตั้งกองทุนตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2563 ทำให้สามารถเริ่มเก็บข้อมูล NAV ได้พร้อม ๆ กัน คือ ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ปี 2563
- มีวิธีการบริหารกองทุนแบบ Active Fund โดยมีเป้าหมายในการลงทุน คือ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (Benchmark) หรือการพยายามเอาชนะตลาด
- กองทุนรวม SSF-A และ SSF-B มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่คล้ายกันมาก คือ ลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ส่วนกองทุน SSF-C มีนโยบายจ่ายเงินปันผล โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนหุ้นในดัชนี SET50 จึงบริหารแบบ Active Fund เหมือนกับ 2 กองทุนแรก
- 2. ระยะเวลาการทำ Backtest ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563 – 31 พฤษภาคม 2565 (เริ่มตั้งแต่ช่วงที่มีการจัดตั้งกองทุน SSF ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการในวันสงกรานต์) การทำ Backtest ประมาณ 2 ปี ทำให้การลงทุนแบบรายปี มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
- 3. การวัดผล เป็นการวัดแบบตรง ๆ โดยดูว่า มูลค่าของพอร์ตลงทุน ณ ราคา NAV ของวันที่ 1 มิถุนายน 2565 คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนทั้งหมด (ไม่ได้วัดผลแบบ IRR) หมายความว่า มูลค่าของพอร์ตลงทุนเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งเป็น Total Return ที่รวมทั้ง Capital Gain + Dividend ไม่ใช่ผลตอบแทนต่อปี ทั้งนี้ตามกฎการถือครองกองทุนรวม SSF คือ ต้องถือไม่ต่ำกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ จึงจะขายได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ผลการทดสอบนี้เป็นเพียงการดูผลประกอบการของกองทุนในช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น)
สำหรับจำนวนเงินลงทุนเพื่อการทดสอบ มีดังนี้
- 1. DCA รายเดือน โดยลงทุนเดือนละ 10,100 บาท เท่า ๆ กัน จำนวน 26 ครั้ง เท่ากับ 262,600 บาท
- 2. DCA รายไตรมาส โดยลงทุนไตรมาสละ 32,825 บาท เท่า ๆ กัน จำนวน 8 ครั้ง เท่ากับ262,600 บาท
- 3. DCA รายปี โดยลงทุนปีละ 131,300 บาท เท่า ๆ กัน จำนวน 2 ครั้ง เท่ากับ262,600 บาท
กองทุนรวมที่ทดสอบการลงทุนแบบ DCA
- กองทุน SSF-A แบบ Active Fund ไม่มีเงินปันผล
- กองทุน SSF-B แบบ Active Fund ไม่มีเงินปันผล
- กองทุน SSF-C แบบ Active Fund มีเงินปันผล (นำเงินปันผลเข้าไปรวมอยู่ในอัตราผลตอบแทน)
ผลการทดสอบ
1. การ DCA รายเดือน ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่การ DCA รายไตรมาสหรือรายปี ก็ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
2. การ DCA รายเดือน ณ วันทำการสุดท้ายของเดือน หรือช่วงใกล้ ๆ ปลายเดือน ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด
3. หากชอบการ DCA แบบรายปี ควร “เลือกลงทุนกลางปี” ดีกว่ารอให้ถึงวันทำการสุดท้าย ทั้งนี้ การ DCA รายปีที่ต่างเดือนกัน จะให้ผลตอบแทนที่แกว่งตัวในกรอบที่กว้างกว่า แปลว่า การ DCA รายปี เสี่ยงกว่าการ DCA รายวัน และรายเดือน
4. การ DCA รายสัปดาห์ในวันจันทร์และวันพุธ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ทั้งนี้ การลงทุนในวันอังคารและวันพฤหัสบดี ก็ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านระยะเวลา Backtest เพียง 2 ปีของกองทุนรวม SSF (ตัวอย่างข้างบน) จึงได้ลองทดสอบกับกองทุนรวม RMF ที่เป็น Index Fund เพิ่มมาอีก 1 กองทุน ระยะเวลา Backtest 10 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ คือ การ DCA รายสัปดาห์ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่สูงกว่าการ DCA รายเดือนไม่ถึง 1%
หมายเหตุ : ผลทดสอบการลงทุนแบบ DCA อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประเภทกองทุนรวม นโยบายการลงทุน ความสม่ำเสมอ และระยะเวลาในการลงทุน
สรุป
- 1. การลงทุนแบบ DCA ไม่ใช่การทำเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด แต่เป็นการลดความเสี่ยง เพราะได้ราคาแบบถัวเฉลี่ย
- 2. การลงทุนแบบ DCA ด้วยจำนวนครั้งที่มากกว่า เช่น DCA แบบรายเดือน ดีกว่าการ DCA แบบรายปี
- 3. การลงทุนแบบ DCA รายสัปดาห์ในวันจันทร์กับวันพุธ ให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่จะ DCA วันไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับวันที่มีเงิน หมายความว่า ควรวางแผน DCA ให้เหมาะกับกระแสเงินสดรับ-จ่ายของตัวเอง
เมื่อ DCA ไปแล้ว กองทุนรวมติดลบ ทางเลือกมีดังนี้
- 1. ลงทุนต่อไปเพราะเป็นวิธีที่ไม่ใช้อารมณ์มาตัดสิน
- 2. จัดสัดส่วนการลงทุนแบบ DCA กองทุนแต่ละกองใหม่เพื่อถัวเฉลี่ยความเสี่ยง คือ การจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
- 3. ย้ายเงินลงทุนบางส่วน (หรือทั้งหมด) ไปกองทุนใหม่ และเริ่มต้น DCA กองทุนใหม่ดังกล่าว
- หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา: www.setinvestnow.com, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th