logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

จิตวิทยาการลงทุนที่นักลงทุนควรรู้ ก่อนเข้าลงทุนในสนามจริง

โดย จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร นักวางแผนการเงิน CFP®

ถ้าพูดถึงหลักการในการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ นอกจากเรื่องวิธีการคัดเลือกสินทรัพย์สำหรับการลงทุน วิธีวิเคราะห์งบการเงิน รวมถึงวิธีการใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น กราฟ และ Indicators ต่าง ๆ นักลงทุนเองก็ยังจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของ การจัดการเงินทุน หรือ “Money Management” ด้วยเสมอเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตลงทุน โดยหลักการก็คือการกำหนดระดับความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้และกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมาก แต่กลับถูกมองข้ามมากที่สุดก็คือเรื่องของ "จิตวิทยาการลงทุน" ซึ่งนักลงทุนที่ขาดทุนต่อเนื่อง หรือไม่สามารถเอาชนะตลาดได้หลาย ๆ ครั้งพบว่าเกิดจากการมองข้ามเรื่อง "จิตวิทยาการลงทุน" ไปนั่นเอง

"จิตวิทยาการลงทุน" คืออะไร ?
จิตวิทยาการลงทุน คือสภาพจิตใจและสภาวะอารมณ์ในการลงทุนของเรา ซึ่งจิตวิทยาการลงทุนถือว่ามีความสำคัญมากในการลงทุน แต่เป็นเรื่องที่จับต้องได้ยาก ไม่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ทำให้หลาย  ๆ คนมองข้ามเรื่องนี้ไป เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นเรามาดูกันว่า "จิตวิทยาการลงทุน" ที่เราจะพบเจอได้บ่อย ๆ ในการลงทุนคืออะไร

1. เพราะราคาสูงเลยไม่ลงทุน
ความผิดพลาดข้อนี้ถือเป็นข้อที่เกิดบ่อยและนักลงทุนเป็นกันเยอะมากที่สุดข้อนึงเลยก็ว่าได้ ความหมายของคำว่า “เพราะราคาสูงเลยไม่ลงทุน” ก็คือเวลาที่เราดูกราฟหุ้นตัวนึง แล้วเห็นว่า หุ้นตัวนี้กราฟสวยมากเป้าหมายนี่ต้องมีเห็น 15 บาทแน่ ๆ แถมตอนนี้ราคาหุ้นก็ยังอยู่แค่ 5 บาทอยู่ เราก็เลยเพิ่มหุ้นตัวนี้ไว้ในลิสต์ แต่พอตอนเราจะซื้อ ราคาหุ้นมันกลับดีดขึ้นมาอยู่ที่ 9 บาทแล้ว และราคานี้ก็เป็นแนวต้านเก่าพอดี

ถ้าในความรู้สึกของบางคนก็จะรู้ว่าราคาหุ้นมันขึ้นมาสูงมากแล้ว เลยไม่กล้าที่จะเข้าไปลงทุน ทั้ง ๆ ที่ตอนดูกราฟเรายังมั่นใจอยู่เลยว่ามันต้องไป 15 บาทแน่ ๆ แบบนี้ก็จะทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนไป

วิธีแก้ข้อนี้ก็คือเราอย่าไปดูที่ราคาหุ้น ให้โฟกัสที่จุดที่มันจะไปหรือเป้าหมายของราคาตามแผนการลงทุน เพราะถ้ามันยังมี GAPหรือส่วนต่างให้เราทำกำไรอยู่ก็ยังถือว่าเรายังมีโอกาสทำกำไรได้อยู่ และต้องไม่ลืมว่าหุ้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม ถ้าแนวโน้มยังไม่จบ หุ้นก็ยังไปต่อได้เรื่อย ๆ เสมอ

2. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
บางครั้งปัญหาในการลงทุนอาจจะไม่ใช่การขาดความรู้ในการลงทุนก็เป็นไปได้ แต่ปัญหาอาจเป็นเพราะความมั่นคงทางจิตใจของเรา สาเหตุที่ทำให้ความมั่นคงทางจิตใจเปลี่ยนไปมี 2 สาเหตุด้วยกัน 

สาเหตุแรกก็คือ "ความกลัว" เช่น กลัวขาดทุน กลัวราคาจะลงไปมากกว่านี้ ตัวอย่างเช่น เราวางแผนไว้ว่าถ้าราคาหุ้น A ลงมาที่ “แนวรับ” ที่เราวางแผนไว้ว่าจะซื้อ แต่พอหุ้น A ลงมาที่แนวรับนั้นจริง ๆ เรากลับไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวว่าราคาจะลงต่อ และกลัวว่าซื้อไปแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น ก็เลยไม่ได้ซื้อหุ้น หลังจากนั้นพอวันต่อมาเรากลับมาดูหุ้นตัวนี้อีกทีราคามันก็ขึ้นไปไกลแล้ว แบบนี้มันทั้งน่าเสียดายและน่าเจ็บใจเลยจริง ๆ

และสาเหตุที่สองก็คือ "ความโลภ" ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรามีหุ้น B อยู่ในพอร์ต โดยมีทุนอยู่ที่ราคา 5 บาท และเราวางแผนว่าจะไปขายที่แนวต้านที่ราคา 7 บาท แต่พอราคาหุ้นขึ้นมาที่ 7 บาทแล้วเรากลับไม่ขาย เพราะเรากลัวว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก แบบนี้ถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นต่อ แถมยังปรับตัวลงมาด้วย เรานั่นแหละที่จะเสียดาย  

วิธีแก้ปัญหานี้แนะนำให้เราเขียนแผนการลงทุนที่ชัดเจนเอาไว้เลย แล้วทำตามแผนที่เราเขียนไว้ทุกขั้นตอน เชื่อว่าถ้าเราทำแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาข้อนี้ได้ดีขึ้นแน่นอน  

3. เชื่อคนอื่นมากเกินไป
เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนหลาย ๆ คนที่อยู่ในตลาดหุ้นจะไม่ได้เข้ามาลงทุนคนเดียว แต่จะมีกลุ่มเพื่อน นักวิเคราะห์หรืออินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เราสนุกกับการลงทุนมากขึ้น มีคนให้เราปรึกษา และทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นจากการแลกเปลี่ยนความรู้กันในกลุ่มอีกด้วย

แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังในการลงทุนกับเพื่อน คืออย่าเชื่อคนอื่นมากเกินไป ตรงนี้หมายความว่าเวลาที่เราปรึกษากับเพื่อนในกลุ่มมันก็จะมีการแนะนำหุ้นกันมา ซึ่งไม่แนะนำให้เราเชื่อและลงทุนในหุ้นที่ได้มาจากคนอื่นทั้งหมด นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเค้าไม่เก่ง แต่เป็นเพราะว่าการเชื่อหุ้นคนอื่นจะทำให้เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง และหลาย ๆ ครั้งเค้าไม่ได้บอกเราทุกอย่าง

ข้อนี้หมายความว่าบางทีเค้าบอกให้เราซื้อหุ้น A แถมบอกราคาซื้อด้วย แต่ประเด็นคือเค้าไม่ได้บอกเราว่าเค้าจะขายเมื่อไหร่ ซึ่งบางทีเค้าขายทำกำไรไปนานแล้ว แต่เรายังถือหุ้นตัวนั้นอยู่เลยก็มี

อีกหนึ่งตัวอย่างที่เป็นผลเสียจากการเชื่อคำพูดคนอื่นมากเกินไป ก็คือบางทีเราทำการบ้านหุ้นตัวนี้มาอย่างดีทั้งดูกราฟและอ่านงบการเงิน แต่ตอนที่เรากำลังจะซื้อดันมีเพื่อนมาบอกว่า “อย่าซื้อหุ้นตัวนี้เลย มันไม่ดีหรอก เราว่าหุ้นตัวนี้ลงแน่ ๆ” ซึ่งถ้าจิตใจเราไม่มั่นคงพอ เราก็อาจจะพลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นและทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ไปเลย

วิธีแก้ไขข้อนี้ คือพอเราได้ยินหุ้นจากคนอื่นมาให้เราเอามาทำการบ้านเองก่อน เช่น เอามาดูกราฟเอง หรือดูปัจจัยพื้นฐานเอง แล้วตัดสินใจด้วยตัวเราเองแบบนี้มันจะทำให้เราได้พัฒนาและไม่ต้องฝากพอร์ตเราไว้กับคำพูดของใครด้วย

4. ฝังใจกับหุ้นตัวเดิม ๆ
เชื่อว่านักลงทุนแต่ละคนย่อมที่จะมีหุ้นที่ตัวเองไม่ถูกชะตา หรือเคยเจ็บกับมันมาก่อน จุดนี้เองมันเลยทำให้เราฝังใจ แล้วไม่กลับไปมองหุ้นตัวนี้อีกเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่อยากให้ทุกคนลองค่อย ๆ ปรับดู อาจจะค่อย ๆ เฝ้าดูหุ้นตัวนั้น แล้วถ้ามีจังหวะดีเมื่อไหร่ก็ลองพยายามกลับไปลงทุนในหุ้นตัวนั้นด้วยเงินน้อย ๆ ก่อนก็ได้

ซึ่งถ้าเรากำไรสักครั้งนึง เชื่อว่ามันจะทำให้เราลบฝันร้ายนั้นไปได้ และเหตุผลที่ให้ทุกคนทำแบบนี้ก็เพราะว่าไม่อยากให้มีอคติกับหุ้นตัวไหนหรือสินทรัพย์ตัวไหนเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เราพลาดโอกาสการลงทุน

5. Overtrade
Overtrade หรือการซื้อขายมากเกินไปเกิดขึ้นจากความที่เรามั่นใจตัวเองมากเกินไป เช่น ในช่วงนั้นเราอาจจะลงทุนเข้าเป้าทุกตัว เข้าตัวไหนก็กำไรไปหมด ความมั่นใจนี้เองมันเลยทำให้เราไม่ยอมหยุดลงทุน แล้วทำให้เรายิ่งเข้าลงทุนไม้ใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เกินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ แล้วเมื่อผิดทางขึ้นมาทำให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตอย่างมหาศาล ซึ่งอาจจะทำให้พอร์ตเราไม่โตและอาจจะไปถึงขั้นขาดทุนถึงเงินทุนเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน

วิธีแก้ข้อเสียข้อนี้ให้ดีขึ้น ก็คือให้เรากำหนดแผนการลงทุนอย่างชัดเจนก่อนการลงทุนทุกครั้ง โดยหลักการทั่วไปเรากำหนดจำนวนเงินลงทุนที่สามารถเสียได้ในแต่ละครั้งไว้เสมอ เช่น เรากำหนดไว้ว่าเรารับความเสี่ยงหรือผลขาดทุนได้ 2% ต่อการลงทุนหนึ่งครั้ง แล้วเราประเมินแล้วว่าการลงทุนในหุ้นครั้งนี้โอกาสที่เราจะยอมแพ้หรือ Cut Loss ออกไปคือเมื่อหุ้นปรับตัวลง 10%

แปลว่าถ้าหากพอร์ตเรามีมูลค่า 100,000 บาท เรารับผลขาดทุนได้เพียง 2,000 บาท ดังนั้นการเข้าลงทุนหุ้นในครั้งนี้เราจะซื้อได้เพียง 2,000 / 10% หรือ 20,000 บาทเท่านั้นเพื่อให้ในจุดที่ Cut Loss เกิดผลขาดทุนกลับมาที่พอร์ตเพียง 2% หรือ 2,000 บาทตามแผนการลงทุนที่ตั้งใจไว้

“จิตยาการลงทุน” เป็นอีกทีปัจจัยสำคัญที่มีส่วนการประสำเร็จหรือล้มเหลวด้านการลงทุน การเร่งศึกษาหาความรู้ พร้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดทักษะ พร้อมกับการลงทุนอย่างมีวินัย มีแผนการลงทุนจะเสมอจะช่วยทำให้เราสามารถเอาตัวรอดจากตลาดการลงทุนได้มากขึ้น

ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th