logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) น่าลงทุนหรือไม่

โดย กัลยวีร์ โรจน์สุขพัฒนา นักวางแผนการเงิน CFP®

 

นักลงทุนที่กำลังมองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร อาจเริ่มหันมาสนใจในหุ้นกู้ โดยเฉพาะหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ล่อตาล่อใจ ถือเป็นทางเลือกที่น่าลงทุนหรือไม่ ก่อนจะตอบคำถามนี้ ขอให้ลองมาทำความเข้าใจลักษณะของหุ้นกู้ประเภทนี้กันก่อน เพราะอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน

 

หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆของบริษัท เมื่อนักลงทุนซื้อหุ้นกู้ ก็จะอยู่ในสถานะ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้ จะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้” โดยบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุ หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ มีชื่อทางการว่า “หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน” ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ทั่วไป เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

 

ความแตกต่างของหุ้นกู้และหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์

 

1.ระยะเวลาการไถ่ถอน หากเป็นหุ้นกู้ทั่วไป จะกำหนดเวลาไถ่ถอนที่ชัดเจน เช่น หุ้นกู้ อายุ 3 ปี หรือ 5 ปี แต่หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์จะไม่กำหนดวันไถ่ถอนไว้ บริษัทผู้ออกจะไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท นั่นหมายความว่า อาจเป็นยี่สิบ สามสิบปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ หากบริษัทยังไม่เลิกกิจการไป อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่มความน่าสนใจแก่นักลงทุน จึงกำหนดให้ผู้ออกตราสารประเภทนี้มีสิทธิไถ่ถอนคืนก่อนกำหนด (Call option) เช่น วันครบกำหนด 5 ปี หรือวันชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้แต่ละครั้ง ภายหลังปีที่ 5

 

2. ลำดับการรับชำระหนี้คืน หากบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ ผู้ซื้อหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ที่ถือเป็นตราสารหนี้ด้อยสิทธิ (subordinated) จะได้รับชำระหนี้คืน อันดับถัดจากผู้ซื้อหุ้นกู้ทั่วไป แต่ได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ หมายความว่า อาจได้รับการชำระคืนเงินต้นทั้งหมด หรือไม่เต็มจำนวน หรือแม้แต่ไม่ได้รับคืนเลยก็ได้ หากบริษัทไม่มีทรัพย์สินเหลือ ดังนั้นจึงเป็นหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป

 

3.การจ่ายดอกเบี้ย หุ้นกู้ทั่วไปจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่จ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือทุก 6 เดือน แต่สำหรับบางรุ่นอาจจ่ายปีละ 4 ครั้งหรือทุก 3 เดือน ก็ได้ แต่สำหรับหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ผู้ออกมีสิทธิเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ยออกไปก่อนได้แม้ว่าบริษัทจะมีกำไร ดังนั้นนักลงทุนอาจไม่ได้รับกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยทุกงวดเหมือนการซื้อหุ้นกู้แบบทั่วไป ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยก็จะลดลงตามไปด้วย แต่หากการจ่ายดอกเบี้ยเป็นไปตามที่กำหนด นักลงทุนก็จะได้รับรายได้ที่สม่ำเสมอเป็นเวลานาน

 

นักลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้ จึงควรศึกษาข้อมูลของบริษัทผู้ออกให้ดี ต้องมั่นใจว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง สามารถอยู่กับวงจรเศรษฐกิจได้ยาว เพราะนักลงทุนต้องถือหุ้นกู้เป็นระยะเวลานาน ปัจจัยที่สามารถนำมาพิจารณาในการเลือกหุ้นกู้ได้ คือ “อันดับความน่าเชื่อถือ” หรือ Credit Rating ของผู้ออกหุ้นกู้ เพื่อดูความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท ซึ่งอันดับเครดิตจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

 

1. Investment Grade ได้แก่ Rating ตั้งแต่ AAA ถึง BBB- คือระดับที่สามารถลงทุนได้ โดย AAA มีความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ต่ำ

 

2. Non-Investment Grade ได้แก่ Rating ตั้งแต่ BB+ ลงมาจนถึง D คือระดับที่ต่ำกว่าระดับน่าลงทุน เป็นหุ้นกู้คุณภาพปานกลางถึงต่ำ จึงให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดย D เป็นระดับที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้

 

ในกรณีของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ นอกจากจะประเมินอันดับ Rating ของผู้ออกแล้ว ควรประเมิน Rating ของตัวหุ้นกู้ด้วย โดยทั่วไปอันดับ Rating ของตัวหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์มักต่ำกว่าอันดับของผู้ออก 1-2 ระดับ เนื่องจากมีลักษณะความเสี่ยงตามที่กล่าวไป

 

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์เหมาะกับใคร

 

จะเห็นได้ว่าหุ้นกู้ประเภทนี้มีความซับซ้อนกว่าหุ้นกู้ทั่วไป หากนักลงทุนไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน ควรทำความเข้าใจในข้อจำกัดเหล่านี้ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน หุ้นกู้ประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนค่อนข้างสูง ต้องการแบ่งเงินมากระจายลงทุน หรือเป็นนักลงทุนที่มีเงินเย็น ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะใช้เงินภายในระยะเวลาอันใกล้ ตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะได้รับเงินต้นคืนช้า หากไม่ต้องการถือต่อ ต้องทำการขายในตลาดรองที่มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ

 

การลงทุนในหุ้นกู้ อย่าดูเพียงแค่อัตราดอกเบี้ยที่สูงเท่านั้น แม้หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์จะจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป นักลงทุนควรพิจารณาว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ และควรเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ หากมีความเข้าใจในเงื่อนไข ก็สามารถลงทุนได้ ที่สำคัญอย่าลืมว่าการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) โดยการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ลงทุนกระจุกตัว หรือเลือกลงทุนในสินค้าการเงินเพียงชนิดเดียว

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th