logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: เกษียณ

จำลองเกษียณด้วย “Worst Cases” ทางการเงิน

โดย ปีติธร ชาประดิษฐ์ นักวางแผนการเงิน CFP®

 

เมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน การเดินทางของชีวิตจริงที่เริ่มต้นด้วยตัวเราก็มีความชัดเจนมากขึ้น ต่างจากชีวิตวัยเรียนมากทีเดียว บางคนเริ่มวางแผนเพื่อตนเองและครอบครัว ซึ่งหนึ่งในแผนเหล่านั้นคือการวางแผนเกษียณ ที่ต้องทำตั้งแต่ก้าวแรกของการทำงาน ไม่ว่าจะผ่านประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (PVD) ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity) หรือการออมการลงทุนอื่นๆ หลากหลายทางเลือก หลายๆ คนกำลังเริ่มต้น หลายคนเดินมาถึงครึ่งทาง หลายคนใกล้สู่เส้นชัยที่อาจพูดได้ว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จึงมีคำถามที่ชวนคิด

 

“เหตุการณ์ใดที่จะเกิดขึ้นกับคุณแล้วรู้สึกแย่ที่สุดในวัยเกษียณ”

 

แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่คำถามนี้จะพาให้คุณได้ฉุกคิดและกลับมาทบทวนแผนเกษียณตนเอง 1) ให้ครอบคลุมจริง 2) ให้มีแนวทางในการแก้ปัญหา “หากเกิดขึ้นจริง เหมือนแผนซ้อมดับเพลิงทั้งๆ ที่ยังไม่มีไฟไหม้ เหมือนล็อคบ้านทั้งๆ ที่ไม่เคยมีขโมย” เมื่อเกิดเหตุการณ์จริงขึ้นมา เราจะได้มีสติ มีทางออกสามารถแก้ไขสถานการณ์นั้นได้

 

แล้วเหตุการณ์ที่ว่านี้มีตัวอย่างอะไรบ้าง มีลักษณะอย่างไร ก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินได้อย่างไร มาดู “Worst Cases” เพื่อเป็นแนวทางการวางแผนเพิ่มเติม

 

กรณีแรก วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ (Economic bubble crisis) เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์: Subprime crisis ปี 2008 (พ.ศ.2550)

 

วิกฤตทางการเงินเหล่านี้มีผลกับทุกคนที่ลงทุนในตลาดทุน แต่จะมีผลมากกับคนที่ “มั่นใจในตลาดทุนเกินไป” โดยขาดการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ หากจะพิจารณาจากข้อมูลบางส่วน ดัชนีหุ้นไทย (SET index) ก่อนหน้าวิกฤตต้มยำกุ้ง 4 ม.ค. 2537 อยู่ที่ 1,753 จุด ถัดมาในวันที่ 4 ก.ย. 2541 อยู่ที่ 207.31 จุด ลดลงถึง 85% สถาบันการเงินหลายแห่งล้ม บริษัทต่างๆ หลายแห่งเลิกกิจการจากภาระหนี้สิน โดยตลาดภาพรวมกว่าจะกลับมายังจุดเดิมได้ต้องใช้เวลาถึง 19 ปี

 

“หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในวันที่เราเกษียณ เวลานั้นพอร์ตเกษียณจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

 

จากระบบการออมเพื่อเป้าหมายเกษียณที่กล่าวไว้ข้างต้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราต้องเกี่ยวข้องกับภาคการลงทุน ทั้งการออมภาคบังคับ การออมภาคสมัครใจ เนื้อในของการออมหรือพอร์ตลงทุน มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดทุนอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม กบข. PVD RMF LTF SSF ล้วนส่งผลต่อภาพรวมของเงินเกษียณ มากน้อยไม่เท่ากัน หากหน้าตาพอร์ตติดลบ -50 % , -40% จากพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ความรู้สึกในตอนนั้นจะหดหู่ ท้อแท้เพียงใด เพราะยิ่งอายุมากขึ้น ความเปราะบางทางใจก็มีมากขึ้น และถ้าเอาจิตใจมาเฝ้ารอโอกาสที่จะดีดกลับมาราคาเดิมจะใช้เวลานานแค่ไหน “กังวล กังวล กังวล” ความเครียดที่เกิดขึ้น ไม่ดีกับเราแน่ๆ เมื่อจินตนาการไปถึงเรื่องนี้แล้วความรู้ในการลงทุนในการจัดพอร์ตเกษียณตามวัยตอนนี้เรามีมากน้อยเพียงใด มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมหรือไม่ มีการสร้างแผนช่องทางการหารายได้หลังเกษียณหลายๆ ช่องทางหรือไม่ นั่นคือทางออกส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดความเสียหายทั้งมูลค่าและจิตใจ ณ วันเกษียณ เราได้เตรียมไว้หรือยัง ดีพอหรือยัง เริ่มทบทวนกันวันนี้เลยดีไหม

 

กรณีที่สอง เกษียณแล้วเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง

 

การเจ็บป่วยนำมาซึ่งความเครียด โดยความเครียดแรกกังวลว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย จากนั้นตามมาด้วยความเครียดความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลหรือค่าใช้จ่ายในการดูแล จะเพียงพอไหม เคยได้ยินบ่อยครั้ง “เก็บเงินมาทั้งชีวิตรักษาครั้งเดียวหมด” และหากเงินไม่มากพอต้องเป็นภาระลูกหลาน ญาติ เพราะกลุ่มคนอายุ 61 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยเกษียณ มีโอกาสเจ็บป่วยมากขึ้น ภาวะการเจ็บป่วยของผู้สูงวัยมีแนวโน้มของจำนวนโรคที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจอนามัย และสวัสดิการของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ดังรูปที่ 1)

 

รูปที่1

 

 

ที่มา: https://tdri.or.th/2019/12/public-healthcare-evaluation/

 

โดยวัยเกษียณมี 5 กลุ่มโรคที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประชากรไทยจากข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ 1) กลุ่มโรคมะเร็ง 2) โรคหัวใจ 3) โรคปอด 4) โรคหลอดเลือดในสมอง 5) โรคเบาหวาน

 

ประเด็นที่สำคัญสร้างผลกระทบกับแผนเกษียณโดยตรงคือ ค่ารักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคร้ายแรงในปัจจุบันสูงมาก ตัวอย่างค่าใช้จ่ายเฉลี่ยโดยประมาณจากการรักษาโรคร้ายแรงของโรงพยาบาลเอกชน

 

  1. โรคมะเร็งระยะลุกลามค่ารักษาพยาบาล 920,886 บาท
  2. โรคหลอดเลือดสมองแตกค่ารักษาพยาบาล 350,000 บาท
  3. โรคภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ค่ารักษาพยาบาล 667,000 บาท
  4. โรคเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายใน 365,000 บาท

ที่มา: AIA Brochure CI 2020

 

และสามารถตรวจสอบค่ารักษาพยาบาลและบริการทางการแพทย์เพิ่มเติมจากกรมการค้าภายใน https://hospitals.dit.go.th/

 

ปัจจัยเงินเฟ้อเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่สูงมาก ทำให้เป็นปัญหาน่ากังวลหลังเกษียณ โดยการรวบรวมข้อมูลค่ารักษาพยาบาลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลอยู่ระหว่าง 7-10 % ต่อปี นั่นหมายถึงระยะเวลา 7-10 ปีต่อจากนี้ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นเป็นอีก 1 เท่าตัว เช่น มะร็งระยะลุกลามค่ารักษาจะเป็น 1,841,772 บาท และ 15-20 ปีต่อจากนี้จะมีโอกาสแพงขึ้นเป็น 4 เท่าตัว ประมาณ 3,683,544 บาท หากซ้ำร้ายเกิดทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงอาจต้องใช้ระยะเวลาดูแลยาวนานอีกด้วย เพราะฉะนั้นหากจะรักษาโรคร้ายแรงกับโรงพยาบาลเอกชนต้องใช้วงเงินค่ารักษาพยาบาลสูงอย่างแน่นอน

 

บางท่านอาจกำลังคิดว่าหากเจ็บป่วยขึ้นจริงก็ใช้บริการจากโรงพยาบาลภาครัฐได้ ไม่รู้สึกกังวลนัก แต่อยากให้จำลองเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ หากภาครัฐไม่สามารถแบกภาระค่ารักษาพยาบาลได้ทั้งหมด จากนั้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมจ่าย(Co-pay) เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรง ซึ่งหากดูจากข้อมูลของ TDRI ผู้สูงวัยในประเทศไทยในปี 2575 จะมีมากถึง 29% นั่นหมายถึงสวัสดิการภาครัฐด้านสาธารณสุขอาจไม่เพียงพอในอนาคตที่จะแบกรับผู้สูงวัยเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรในประเทศ การมีส่วนร่วมจ่ายในค่ารักษาจะเป็นทางออกอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหาสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลภาครัฐ เพราะฉะนั้นการเตรียมสร้างพอร์ตกองทุนเพื่อค่ารักษาพยาบาล หรือ เพื่อค่าเบี้ยประกันสุขภาพในอนาคต คือทางออกช่วยให้หลังเกษียณหากเจ็บป่วยจะได้รับการรักษาที่ดีและรวดเร็ว ลองตรวจเช็กดูว่าพอร์ตเกษียณเดิมมีการลงทุนเพื่อกองทุนค่ารักษาพยาบาลนี้หรือยัง

 

กรณีที่สาม ทำธุรกิจผิดพลาด (เจ๊ง)

 

“แล้วเจ๊งด้วยอะไรหล่ะ” คำตอบอาจไม่เหมือนกัน แต่ผลกระทบเหมือนกันคือเงินหมดหรือไม่เพียงพอหลังเกษียณ เช่น

 

  1. ลงทุนผิดพลาด บางคนทำธุรกิจใหม่ตอนเกษียณ พอเกษียณแล้วว่าง มีเงินก้อนหาอะไรทำเล่นๆ จากเล่นๆ เริ่มบานปลาย ทำด้วยความไม่ชำนาญ หรือสายป่านทางธุรกิจไม่ยาวพอที่จะผ่านช่วงแนวต้านไปได้ ทำให้เกิดความผิดพลาดการบริหารเงินตอนเกษียณ ในกรณีนี้เห็นบ่อยมาก
  2. ทำธุรกิจมานานจนใกล้เกษียณ แต่ถูกมรสุมเศรษฐกิจซัดจนไม่อาจต้านทานได้ไหว อุ้มลูกจ้าง อุ้มหนี้สิน เงินเก็บในระบบค่อยๆ ลด รู้อีกทีเงินหมด ไม่เห็นทิศทางการฟื้นตัวของธุรกิจ พิษโควิด-19 รอบนี้เห็นภาพได้ชัดมาก หลายๆ ที่ต้องปิดกิจการลงอย่างถาวร
  3. การรับผิดชอบตามกฏหมายทั้งทางแพ่ง ทางอาญา จากความผิดพลาดการดำเนินธุรกิจ เช่น ตนเองหรือพนักงานในบริษัทขับรถเกิดอุบัติเหตุชนสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้วถูกฟ้องให้ชดใช้จนหมดตัวหรือล้มละลาย
  4. ลงทุนแชร์ลูกโซ่ เข้าใจว่าสิ่งที่เอาเงินไปลงทุนคือธุรกิจ ตามผู้ชักชวนนำเสนอเริ่มลงทุนจากน้อยๆ พอลงทุนมากขึ้นระบบหายไปเลย มีข่าวบ่อยมากในสังคมไทย

แล้วทางออกของคนทำธุรกิจคืออะไร แนวทางการบริหารการเงินเพื่อลดความผิดพลาดหลังเกษียณ คือหากอยากทำธุรกิจคงต้องเริ่มศึกษาแนวทางตั้งแต่ก่อนเกษียณ ศึกษาโอกาส ความเสี่ยง แต่ถ้าไม่ได้แยกการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ออกจากธุรกิจที่ทำอยู่ ความเสี่ยงทางการเงินก็ยังมีอยู่ หากมีการแยกการเงินออกให้ชัดเจนส่วนไหนสำหรับธุรกิจ ส่วนไหนเพื่อใช้จ่ายวันเกษียณ ความเสี่ยงเหล่านี้จะลดลง ฟังดูง่าย สำหรับผู้ประกอบการนั้นไม่ง่ายเลย

 

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจำลอง Worst cases ทางการเงินเป็นแนวทางการบริหารจัดการหากเกิดเหตุเลวร้ายที่สุด การที่ไม่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก แต่หากเกิดขึ้นจริงแล้ว เราไม่ได้ซ้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ จิตใจ ความรู้สึก ความกังวล จะส่งผลให้วัยเกษียณสุข กลับต้องมาแบกความทุกข์ไว้แทน แต่หากเราเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมวิธีการรับมืออย่างดี เปิดใจรับเรื่องราวที่เข้ามา หาที่ปรึกษาไว้เคียงข้าง เราจะมีสุข ในทุกๆ สถานการณ์

 

“ก็เมื่อล็อคบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีโจรไหม การจำลองเกษียณด้วย Worst cases ทางการเงินก็เช่นกัน”

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th