บทความ: ลงทุน
เครื่องมือช่วยบริหารเงินลงทุนในยามที่หุ้นผันผวน
โดย พิชญา ซุ่นทรัพย์ นักวางแผนการเงิน CFP®
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” คำว่า ความเสี่ยง ในประโยคนี้หมายถึง ความผันผวนของของราคาสินทรัพย์ที่นักลงทุนเลือกนำเงินไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือ ตราสารหนี้ ในปัจจุบันเรามีเครื่องมืออะไรบ้างที่พอจะช่วยลดความผันผวน เช่น เราคาดว่าในอนาคตราคาสินทรัพย์มีโอกาสปรับตัวลดลง เราควรเลือกใช้เครื่องมืออะไร เพื่อช่วยป้องกัน หรือ ลดการขาดทุนจากเหตุการณ์ดังกล่าว บทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านมีทางเลือกในการบริหารความเสี่ยง และสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม
โดยปกติทางเลือกที่เราเลือกใช้ในการรับมือกับการปรับตัวลดลงของราคาสินทรัพย์มีดังนี้
- ขายสินทรัพย์ออกไปแล้วถือเงินสด
- เปลี่ยนตัวเลือกในสินทรัพย์เดิม
- เปลี่ยนสินทรัพย์
- ไม่ทำอะไร
การเลือกใช้ทางเลือกทั้ง 4 เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถทำได้ เช่น ทางเลือกที่ 1 เราอาจจะเลือกขายสินทรัพย์นั้นออกไปก่อนเพื่อถือเงินสด แล้วรอจังหวะซื้อกลับมาในวันที่ราคาลงต่ำกว่าที่ขายไป หรือ ทางเลือกที่ 2 ขายแล้วเอาเงินไปซื้อหลักทรัพย์ประเภทเดียวกันที่เป็นหลักทรัพย์ตัวอื่นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่า มั่นคงกว่า หรือ ทางเลือกที่ 3 คือ เปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น ขายกองทุนหุ้นไป ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรือ ทองคำ เป็นต้น เพราะเชื่อว่าราคาสินทรัพย์แต่ละประเภทจะไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน หรือ หลายคนอาจเลือกที่จะถือต่อ รอจนกว่าราคาสินทรัพย์จะกลับมาที่เดิม โดยที่รู้ว่าเราอาจจะเสียโอกาสในการนำเงินดังกล่าวลงทุนในสินทรัพย์อื่นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เรายังมีทางเลือกโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสามารถลดความเสียหายและยังอาจสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมให้กับเราได้ ดังนี้
- การขายชอร์ต (Short Selling)
หากเราคาดว่า หลักทรัพย์นั้นจะมีราคาลดลงในอนาคต เราสามารถยืมหลักทรัพย์จากโบรกเกอร์มาขายออกไปก่อน โดยที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในมือ และหลังจากที่ราคาหลักทรัพย์ลงไปจริงตามที่เราคาด ให้เราทำการซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวมาคืนให้กับโบรกเกอร์ เราจะได้กำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาที่เราขายกับราคาที่เราซื้อคืน หักต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ในระหว่างการยืมหุ้นสถานะเราถือเป็นลูกหนี้ จึงมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมา ยิ่งยืมนานก็จะเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา นอกจากนี้ยังมีค่าคอมมิชชั่นและค่าดำเนินการต่างๆ ดังนั้น ก่อนการขายชอร์ตจะต้องประเมินให้คุ้มค่ากับต้นทุนด้วย
- อนุพันธ์ (Derivatives)
เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ตกลงซื้อ/ขาย หรือ ให้สิทธิในการซื้อ/ขายสินค้าอ้างอิงในอนาคต ข้อดี คือ เราสามารถลงทุนโดยวางเงินเป็นหลักประกันเพียง 10-15% ของมูลค่าทรัพย์สินอ้างอิง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
อนุพันธ์มี 2 ประเภท ได้แก่ Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) และ Options (สิทธิในการซื้อหรือสิทธิในการขาย)- ฟิวเจอร์ (Futures)
หากเราคาดว่าราคาหลักทรัพย์ในอนาคตจะขึ้นหรือลง เราสามารถทำ “สัญญาล่วงหน้า” ไว้ว่าเราจะซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิง จำนวนกี่หน่วย ที่ราคาเท่าใด และจะส่งมอบและชำระราคากันเมื่อใด สัญญาล่วงหน้าชนิดนี้เราเรียกว่า “ฟิวเจอร์” เช่น หากเราคาดว่าดัชนีราคาหุ้นจะลงไปต่ำกว่าราคาปัจจุบันในช่วงสามเดือนข้างหน้า เราสามารถ “ขายฟิวเจอร์” หรือทำสัญญาขายล่วงหน้าที่ราคาปัจจุบัน เมื่อดัชนีราคาหุ้นอ้างอิงลดลงจริงตามคาดเราจะได้กำไร - ออปชั่น (Options)
ออปชั่นมีข้อได้เปรียบมากกว่าฟิวเจอร์ตรงที่ ออปชั่นเป็น “สิทธิ์” ในการซื้อ (Call option) หรือ “สิทธิ์” ในการขาย (Put option) ล่วงหน้า เช่น เมื่อครบกำหนดวันส่งมอบ ผู้ลงทุนที่มีสถานะ ซื้อ put option (มีสิทธิที่จะสามารถขายสินทรัพย์อ้างอิง) จะมีสิทธิเลือกว่าจะใช้สิทธิ์ขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งพิจารณาจากราคาสินทรัพย์ ถ้าราคาจริงลดลงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ซื้อจะเลือกใช้สิทธิ์ขาย และผู้ที่มีสถานะขาย put option มีหน้าที่ต้องชำระราคาตามที่ตกลงไว้ แต่ถ้าราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ที่ซื้อ put option จะเลือกไม่ใช้สิทธิและปล่อยให้สัญญาหมดอายุ ทั้งนี้สิทธิดังกล่าวย่อมมีต้นทุนเช่นกัน ต้นทุนของผู้ซื้อออปชั่นนั้นเราจะเรียกว่าค่าพรีเมี่ยม (Premium)
- ฟิวเจอร์ (Futures)
สรุปคือ หากคาดว่าราคาสินทรัพย์จะลดลง สามารถพิจารณาซื้อ put option เพื่อให้ได้รับกำไรหากราคาลดลง แต่หากราคากลับเคลื่อนไหวตรงข้าม เราสามารถเลือกไม่ใช้สิทธิ์ โดยที่เราจะเสียต้นทุนคือค่าพรีเมียมเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์การลงทุนในออปชั่นอีกมากที่เหมาะสำหรับตลาดขาลง ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://elearning.set.or.th/SETGroup/categories/4
การลงทุนในอนุพันธ์ แม้จะมีประโยชน์ในเรื่องการป้องกันความเสี่ยง และสามารถทำผลตอบแทนในตลาดขาลงได้ แต่หากผู้ลงทุนคาดการณ์ทิศทางตลาดผิด จะมีโอกาสขาดทุนและถูกเรียกให้วางเงินประกันเพิ่ม ไปจนกระทั่งถูกบังคับขายได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ลงทุนควรพิจารณาระดับเงินประกันที่วางไว้ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ที่ใช้และภาวะตลาดขณะนั้นด้วย
- ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant)
ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เป็นตราสารที่ผู้ออกจะให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อ หรือขายหุ้นอ้างอิงตามราคาใช้สิทธิ (Exercise Price) ในวันที่ครบอายุ สิทธิในการซื้อ จะเรียกว่า Call DW และสิทธิในการขาย เรียกว่า Put DW ดังนั้นหากผู้ลงทุนมีมุมมองว่าราคาของทรัพย์สินจะปรับตัวลดลง ให้ซื้อ Put DW ราคาของ Put DW จะเคลื่อนไหวตรงข้ามกับหลักทรัพย์อ้างอิง หากท้ายที่สุดราคาของสินทรัพย์ปรับขึ้น เราก็จะขาดทุน ทั้งนี้จะขาดทุนสูงสุดไม่เกินกว่ามูลค่าของ Put DW ที่ซื้อไว้เท่านั้น
เราได้เห็นกันไปแล้วนะครับว่ามีวิธีการและเครื่องมือที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนในช่วงจังหวะตลาดขาลงได้ แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ ดังนั้นก่อนเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้ เราควรมีแผนสำรองอย่างแผนการปิดสถานะ และการเตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับรองรับกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามคาดด้วย