logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

เลือกตั้งสหรัฐอเมริกากับการลงทุน

โดย ธนพงษ์ เอื้อสมิทธ์ นักวางแผนการเงิน CFP®

 

ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่จะถึงนี้ เป็นวันสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกาคือวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 46  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างยิ่งในแง่การลงทุน เพราะปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกานั้นถือเป็นตลาดหุ้นที่มีอิทธิพลสูงสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ และถือเป็นตลาดที่ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ในปีนี้ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะโดนวิกฤติ COVID- 19 จนซบเซาไปตามๆ กัน เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐนั้นเต็มไปด้วยบริษัทที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก เช่น บริษัท เทสล่าร์ มอเตอร์ ที่ลงทุนด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นความหวังของคนทั้งโลกในการค้นพบวัคซีนเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดไวรัส เช่น บริษัทโมเดอร์นา  ที่มีข้อตกลงในการซื้อขายวัคซีนกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐนั้นยังเป็นที่นิยมของนักลงทุนในปีนี้

 

ซึ่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่ละครั้งจะนำไปสู่นโยบายต่างๆ ตามที่หาเสียงไว้ เช่นในสมัยของโอบามาก็มีการผลักดันระบบประกันสุขภาพทั่วหน้า หรือที่เรียกกันว่า “โอบามาแคร์” ทำให้ประชาชนอเมริกาเข้าถึงการรักษาด้วยสวัสดิการที่ถูกลงกว่าเดิม แต่ก็สงผลกระทบต่อกลุ่ม healthcare คือทำให้มีรายได้ที่ลดลง หรือสมัยของทรัมป์ที่มีนโยบายลดภาษีนิติบุคคลลง ทำให้ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็น all time high บ่อยครั้ง 

 

โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝั่งพรรครีพับลิกันยังคงเป็นโดนัลด์ ทรัมป์และไมค์ เพนซ์ลงสมัครเช่นเดิม ส่วนทางด้านพรรคเดโมแครตนั้นโจ ไบเดน ได้เลือกกมลา แฮร์ริส เป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งเป็นนักการเมือง “สายกลาง” เช่นเดียวกับไบเดน ซึ่งทางด้านนโยบายของผู้สมัครฯ แต่ละคนเป็นดังนี้

 

นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเป็นนโยบาย  “American First” เช่นเดิมโดยเน้นการปกป้องธุรกิจในประเทศ เช่นการตั้งกำแพงภาษี การกีดกันการค้า และการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศคู่ค้า และยังคงลดหย่อนภาษีของนิติบุคคลให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป (ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวม) เป็นต้น

 

นโยบายของโจ ไบเดน ชูนโยบาย  “Buy American” โดยเน้นการบริโภคภายในประเทศ เช่นการสนับสนุนให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ และยกเลิกการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล (ซึ่งจะกระทบกับผลกำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้อัตรากำไรลดลง) เป็นต้น

 

ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาจะดูเป็นเรื่องไกลตัวกับประเทศไทยก็ตาม และจากสถิติที่ผ่านมานั้นส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก แต่สำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศนั้นมีผลกระทบอย่างยิ่ง เพราะในช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายย่อมจะเกิดความไม่แน่นอน และมีโอกาสส่งผลลบต่อพอร์ตการลงทุน ดังนั้นหากนักลงทุนอยู่ในช่วงทบทวนพอร์ตการลงทุน ก็สามารถใช้จังหวะนี้ในการพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนต่อไป

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th