บทความ: ประกันภัย
มีเงินน้อยก็ทำประกันชีวิตได้
โดย สุมิตรา อภิรัตน์ นักวางแผนการเงิน CFP®
เมื่อกล่าวถึงการทำประกันชีวิต คนส่วนใหญ่มักคิดว่าต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูง จึงมองเป็นข้อจำกัดและทำให้ไม่อยากทำประกันชีวิต เหตุผลที่ทำให้หลายคนมองว่าประกันชีวิตมีค่าเบี้ยที่สูง อาจเป็นเพราะคุ้นเคยแต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นแบบประกันยอดนิยม หรือเมื่อจะทำประกันชีวิตก็อยากได้เงินคืนเร็วๆ ครบสัญญาไวๆ ตัวแทนหรือคนขายประกันจึงนำเสนอแต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เพื่อให้มีโอกาสขายได้มากขึ้น ทั้งนี้ ประกันชีวิตมีหลายแบบด้วยกัน และมีค่าเบี้ยประกันที่แตกต่างกัน ซึ่งประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จัดว่าเป็นแบบประกันที่มีค่าเบี้ยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประกันชีวิตแบบอื่นๆ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำประกันเพื่อสร้างความคุ้มครองและความมั่นคงให้กับตัวเองและครอบครัว ขอแนะนำให้ทำความรู้จักประกันชีวิตแต่ละแบบ ซึ่งมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เพื่อเลือกแบบประกันชีวิตได้อย่างเหมาะสม
ประกันชีวิตแบบพื้นฐาน สามารถแบ่งออกเป็น4แบบ ดังนี้
- แบบชั่วระยะเวลา เป็นประกันชีวิตที่เน้นความคุ้มครองเป็นช่วงระยะเวลา เช่น 1 ปี 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี โดยไม่มีเงินคืนระหว่างสัญญาจะได้รับเงินคืนเมื่อเสียชีวิตในระยะเวลาคุ้มครอง จุดเด่นคือให้ความคุ้มครองชีวิตสูง ซึ่งเบี้ยประกันจะถูกที่สุดเมื่อเทียบกับประกันชีวิตแบบอื่นๆ เหมาะกับผู้ที่มีภาระเยอะต้องการความคุ้มครองสูงและจ่ายเบี้ยประกันถูก ข้อจำกัดคือไม่ได้รับเงินคืนเมื่อมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา
- แบบตลอดชีพ เป็นประกันชีวิตที่คุ้มครองยาวถึงอายุมากๆ เช่น อายุ 80 ปี 90 ปี หรือ 99 ปี จะได้รับเงินคืนเมื่อเสียชีวิต หรือมีชีวิตอยู่จนครบสัญญาตอนอายุ 80 ปี 90 ปี หรือ 99 ปี ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์เหมาะกับการสร้างมรดกให้ลูกหลาน จุดเด่นคือ ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงทั้งนี้ เบี้ยประกันจะสูงกว่าแบบชั่วระยะเวลา เพราะได้รับเงินคืนทั้งกรณีที่เสียชีวิต หรือมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา ข้อจำกัดคือจะได้รับเงินคืนต้องรอครบสัญญา มักกำหนดไว้ที่อายุ 80 ปีขึ้นไป
- แบบสะสมทรัพย์ เป็นประกันชีวิตที่เน้นได้รับเงินก้อนเมื่อครบสัญญา และส่วนใหญ่มีเงินคืนระหว่างสัญญาให้ด้วยซึ่งความคุ้มครองจะไม่สูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ในระยะเวลา 10 ปี หรือ 20 ปี จุดเด่นคือเป็นการเก็บเงินร่วมไปกับการทำประกันชีวิต ข้อจำกัดคือเบี้ยประกันสูงเพราะมีการคืนเงินระหว่างสัญญา
- แบบบำนาญหรือแบบเงินได้ประจำ เป็นประกันชีวิตที่ได้รับเงินบำนาญหรือเงินได้ประจำตอนอายุเกษียณเมื่ออายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ไปจนถึงอายุที่กำหนดไว้ เช่น อายุ 85 ปี หรือ 90 ปี จุดเด่นคือเหมาะกับผู้ที่ต้องการมีเงินเพื่อใช้จ่ายสม่ำเสมอ เสมือนยังมีรายได้ประจำในช่วงวัยเกษียณ ข้อจำกัดคือต้องรอจนถึงวัยเกษียณจึงจะเริ่มได้รับเงินบำนาญจากประกัน
ปัจจุบันมีประกันชีวิตแบบใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา คือ ประกันชีวิตควบการลงทุนหรือยูนิตลิงค์ (Unit Linked) เป็นประกันชีวิตที่มีทั้งความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนจากกองทุนรวมในกรมธรรม์ฉบับเดียวกัน โดยเบี้ยประกันที่เราจ่ายไปนั้นจะแบ่งไปเป็นความคุ้มครองชีวิต และค่าธรรมเนียมต่างๆ ส่วนที่เหลือของเบี้ยประกันจะนำไปลงทุนผ่านกองทุนรวม พื้นฐานของกรมธรรม์แบบนี้จะเป็นแบบตลอดชีพคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งมีความยืดหยุ่นที่สามารถเลือกทุนประกันชีวิตเองได้ว่าจะเป็นจำนวนกี่เท่าของค่าเบี้ยประกัน และสามารถเลือกว่าจะจ่ายเบี้ยประกันกี่ปี ถ้าปีใดเราไม่ได้จ่ายเบี้ยประกัน บริษัทประกันจะขายกองทุนบางส่วนมาจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกรมธรรม์ เพื่อทำให้กรมธรรม์ยังมีความคุ้มครองต่อ ดังนั้น กรมธรรม์แบบนี้เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ จุดเด่นคือ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวม แต่ข้อจำกัดคือไม่ได้การันตีผลตอบแทนที่แน่นอน
ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบความคุ้มครองของประกันชีวิตแต่ละแบบ ที่มีระยะเวลาจ่ายเบี้ยเท่ากันอยู่ที่ 10 ปี โดยใช้ตัวอย่าง ผู้ทำประกันอายุ 35 ปี มีรายได้ปีละ 500,000 บาท แบ่งเงิน 10% มาทำประกันชีวิต คือจ่ายเบี้ยประกันปีละ 50,000 บาท ความคุ้มครองที่ได้รับจากประกันชีวิตแต่ละแบบเป็นดังนี้
ประกันชีวิต |
ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกัน |
ระยะเวลาคุ้มครอง |
วงเงินคุ้มครองโดยประมาณ |
แบบชั่วระยะเวลา 10/10 |
10 ปี |
10 ปี |
10,000,000 บาท |
แบบตลอดชีพ 90/10 |
10 ปี |
คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี |
1,000,000 บาท |
แบบสะสมทรัพย์ 15/10 |
10 ปี |
15 ปี |
150,000 บาท |
แบบบำนาญ 85/10 |
10 ปี |
คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี |
200,000 บาท |
แบบยูนิตลิงค์ 99/99 |
99 ปีหรือน้อยกว่า |
คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี |
250,000 - 5,000,000 บาท |
จะเห็นได้ว่า ประกันชีวิตมีหลายแบบ อยู่ที่วัตถุประสงค์ในการทำประกัน ต้องการเน้นความคุ้มครองหรือเน้นการสะสมเงิน หรือเน้นรายได้ประจำหลังเกษียณ โดยหากต้องการทำประกันชีวิตเพื่อเน้นสร้างความคุ้มครองให้กับครอบครัว แต่งบประมาณจำกัดสามารถเลือกทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา แต่หากมีกำลังเพียงพอที่จะจ่ายเบี้ยประกันได้มากขึ้น สามารถเลือกทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพซึ่งมีระยะเวลาคุ้มครองที่นานขึ้นและเมื่อมีรายได้มากขึ้น หรือมีกำลังทรัพย์มากพอ สามารถเลือกทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เพื่อรับเงินก้อนเมื่อครบสัญญา หรือทำประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อสร้างรายได้หลังเกษียณ ซึ่งแบบสะสมทรัพย์ และบำนาญ ไม่ได้เน้นความคุ้มครอง แต่เน้นการได้รับเงินเพื่อใช้จ่ายในอนาคต หรือถ้าชอบการลงทุนผ่านกองทุนรวมและรับความเสี่ยงได้ สามารถเลือกทำประกันยูนิตลิงค์ โดยเลือกทุนประกันให้เหมาะสมกับตัวเอง
นอกจากนี้เมื่อเรามีประกันชีวิตแล้ว เราสามารถเพิ่มความคุ้มครองด้วยสัญญาเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันทุพพลภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันค่ารักษาพยาบาล ซึ่งสัญญาเพิ่มเติมเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้คุ้มครองเป็นระยะเวลากี่ปี หรือเท่ากับสัญญาหลักเลยก็ได้ โดยเบี้ยประกันที่จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของสัญญาเพิ่มเติมจะให้ความคุ้มครองเพียงอย่างเดียว มักไม่มีเงินคืนให้ แม้ว่าจะไม่ได้เบิกเคลมจากประกันเลยก็ตาม แต่ทำเพื่อให้เรามีความคุ้มครองครบตามความต้องการหรือลดความเสี่ยงในการจ่ายเงินก้อนใหญ่สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น
การทำประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการวางแผนการเงินเพราะเป็นการปกป้องความมั่งคั่งของเราและครอบครัวหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งประกันชีวิตจะมาช่วยแบ่งเบาภาระที่เกิดขึ้น ทำให้เงินเก็บและความมั่งคั่งของเรายังคงมีต่อไป สิ่งสำคัญคือ ตัดสินใจทำประกันชีวิตได้ตรงตามเป้าหมายและความสามารถในการชำระเบี้ยประกันถึงแม้มีเงินน้อยก็ทำประกันชีวิตได้ค่ะ