บทความ: บริหารจัดการเงิน
เมื่อ Gen Y ไม่เป็นหนี้ .. ประเทศไทยนี้ จะเป็นอย่างไร?
โดย คุณลาวัณย์ วาริชนันท์ นักวางแผนการเงิน CFP®
จากข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อปี 2559 พบว่า กลุ่ม Gen Y ซึ่งในขณะนั้น มีอายุ 23-38 ปี จำนวน 14.4 ล้านคน ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดของ Gen Y หรือ ประมาณ 7.2 ล้านคน มีภาระหนี้ต่อคน อยู่ถึง 423,000 บาท และที่มากไปกว่านั้น ประมาณ 20% ของ Gen Y ที่กู้หนี้ หรือประมาณ 1.4 ล้านคน ผิดนัดชำระหนี้ โดยคิดเป็น 7.1% ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีการผิดนัดชำระ และแนวโน้มองค์รวมคือเพิ่มขึ้น
ข้อมูลเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับเรา และอนาคตของประเทศไทยอย่างไร รวมถึงเราจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อทำให้ประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น อาจพิจารณาได้ ดังนี้
ด้วยความที่กลุ่มคน Gen Y (กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1980-1995) เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีถึง 28% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ซึ่งคน Gen Y เกิดมาในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู พ่อแม่ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนกลุ่ม Baby Boomer และบางส่วนคือ คน Gen X ที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้จากการผ่านความยากลำบากในการสร้างเนื้อสร้างตัว และผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาด้วยความอดทน ส่งมอบความฝันหรือบางสิ่งที่ตนขาดให้กับลูกๆ ที่เป็นกลุ่มคน Gen Y มีผลให้กลุ่มคน Gen Y ส่วนหนึ่งได้รับการตามใจ มีอิสระในการเลือกสูง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการพื้นที่ในการแสดงออกของตนเองสูง
จากปัจจัยดังกล่าว ประกอบกับเทคโนโลยีอันทันสมัยที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับกลุ่มคน GenY และรวมถึง การเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าและบริการหลากหลายประเภท ทำให้กลุ่มคน Gen Y เข้าถึงการจับจ่ายใช้สอยได้อย่างง่ายมาก เป็นเหตุให้เกิดเทรนด์ “ของมันต้องมี” “ของมันต้องได้”
จากงานวิจัยของ TMB Analytics เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เงินเชิงลึกของกลุ่มคน Gen Y ผ่านแคมเปญ “ของมันต้องมีก่อน 40” พบว่า กลุ่มคน Gen Y ส่วนใหญ่ มีเป้าหมายชีวิตที่ดี เช่น ต้องการมีบ้าน มีรถ เป็นของตนเอง หากแต่ว่า สิ่งที่ต้องการ กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพฤติกรรมนั้น สวนทางกัน
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นกลุ่มคน GenY หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ซึ่งประกอบไปด้วยโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า นาฬิกาและเครื่องประดับ โดยเฉลี่ยปีละ 95,500 บาทต่อปี เท่ากับว่าหากเอาค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาคูณจำนวนกลุ่มคน Gen Y จะเท่ากับว่ากลุ่มคน Gen Y หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ไปถึง 1.37 ล้านล้านบาทเทียบเท่าอัตราการขยายตัว 13% ของประเทศไทย
ด้วยความมั่นใจในตนเอง ต้องการเลือกสินค้าและบริการด้วยตนเอง หาข้อมูลเองของคน Gen Y และการวางแผนการเงินในประเทศไทย ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ทำให้กลุ่มคน Gen Y เอง วางแผนการเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณประชากร อีกทั้งยังวางเงินไว้ผิดที่ ทำให้เงินไม่งอกเงยและทำงานได้อย่างเต็มที่
จากปัจจัยทั้งหมดข้างต้น ทำให้กลุ่มคน Gen Y ประมาณ 1.4 ล้านคน ผิดชำระหนี้ และอีกทั้งคนส่วนใหญ่ มิได้ทำการวางแผนการเงิน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว เป็นเหตุให้ภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือกันแก้ไข อย่างจริงจัง มีงานวิจัยระบุออกมาว่า อีก 15-20 ปี ข้างหน้า หากพฤติกรรมดังกล่าวไม่ถูกปรับเปลี่ยน กลุ่มคน Gen Y ประมาณ 5 ล้านคน จะเกษียณไปพร้อมกับหนี้ ซึ่งจะทำให้เป็น “หลุมดำ” ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
แล้วเราจะรับมือจัดการ รวมถึงร่วมมือกันอย่างไร ให้ประเทศไทยไปข้างหน้า?
ถึงสภาวการณ์นี้ในยุค COVID-19 ดูเหมือนว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งที่ควรถูกสนับสนุนในเหตุการณ์นี้มากที่สุดซึ่งในที่นี่เราอาจจะหมายถึงการใช้การวางแผนการเงินแบบบูรณาการ เข้ามาร่วม เพื่อให้บุคคลแต่ละคนได้กำหนดเป้าหมายและทิศทางของชีวิต ในกรอบของรายได้และรายจ่าย รวมถึงสินทรัพย์และหนี้สิน ที่มีอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินผิดที่ผิดทาง วางเงินหรือลงทุนผิดประเภท เพื่อให้แต่ละบุคคลสามารถบรรลุเป้าหมายชีวิต และมีเงินใช้อย่างเพียงพอในยามเกษียณได้
นอกจากนี้ หากกลุ่มคน Gen Y ลดอัตราการใช้จ่ายกับ “ของมันต้องมี และ ของมันต้องได้” ลงมา 50% แล้วนำเงินดังกล่าว ไปลงทุนอย่างถูกวิธี เมื่อเวลาผ่านไป 10-30 ปี ความฝันในการมีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บเพื่อใช้ในยามเกษียณของตนเอง ก็สามารถเกิดขึ้นได้ (สำหรับการลดค่าใช้จ่ายต้องทำอย่างไรนั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความอื่นๆ ของสมาคมนักวางแผนการเงินไทย)
เพราะองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ไม่ใช่ ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ หรือ ต้นไม้ ใบหญ้า หากแต่เป็นคนแต่ละคนที่เรียกตนเองว่าคนไทย ดังนั้นเมื่อคน 1 คนสามารถรับผิดชอบตนเอง มีแผนการเงินที่ถูกต้อง และใช้การได้สำหรับตนเองแล้ว ก็เท่ากับว่า บุคคลคนนั้น ก็ไม่ต้องใช้เงิน งบประมาณในการช่วยเหลือจากประเทศชาติในยามชรา หากคนไทย 20 คน 100 คน 1 ล้านคน 20 ล้านคน รับผิดชอบตนเองได้ทั้งชีวิต ชีวิตจะมีความสุขใจและความภูมิใจมากเพียงใด และแน่นอนว่า เขาเหล่านั้นจะเป็นส่วนในการพัฒนาประเทศชาติไปในอีกทิศทางหนึ่ง ไม่แน่ว่า ประเทศไทยจะพลิกจากประเทศกำลังพัฒนา กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็เป็นได้ เมื่อคนไทยรู้จักและรับผิดชอบในการบริหารจัดการเงินและเป้าหมายชีวิตของตนเอง