บทความ: เกษียณ
“เคล็ดไม่ลับเพื่อการเกษียณ” ลงทุนด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
โดย คุณเสาวลักษณ์ บ่อศิลป์ นักวางแผนการเงิน CFP®
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
เป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการเงินได้เมื่อออกจากงาน เป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวกรณีลูกจ้างเสียชีวิต ทุพพลภาพ เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการดำเนินชีวิตในช่วงวัยเกษียณ ซึ่งกองทุนนี้มีกลไกปกป้องสมาชิกกองทุน เนื่องจากมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกจากทรัพย์สินของบริษัทและแยกออกจากบริษัทจัดการ เท่ากับมีความปลอดภัยของเงินกองทุน และเงินกองทุนนี้ไม่อยู่ภายใต้ผลแห่งการบังคับคดี คือต้องจ่ายเงินกองทุนให้แก่สมาชิกกองทุนตามที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน
ทำไมบริษัทควรตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
บริษัทควรให้ความสำคัญกับสวัสดิการเงินได้เมื่อออกจากงานของพนักงานให้มากขึ้น เพื่อให้พนักงานและ/หรือคนรุ่นใหม่มีวินัยในการออมเงิน สามารถเข้าถึงการเก็บเงินผ่านระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ด้วยกระแสนิยมของความจำเป็นในการบริหารการเงินส่วนบุคคลและการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ คนที่เริ่มทำงานมาสักพักนึงเริ่มมีแนวคิดที่อยากได้เงินยามเกษียณที่มากขึ้นเพื่อที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเป็นภาระของลูกหลาน ซึ่งจะต้องสร้างความมั่นคงทางการเงิน และการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็สามารถตอบโจทย์ในหลายๆ ด้านของการลงทุนเพื่อการเกษียณ ดังนั้น นายจ้างต้องให้ความสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ให้เกิดความผูกพันมีความมั่นใจและตั้งใจในการทำงานกับบริษัทอย่างเต็มที่เต็มกำลัง โดยการเปิดโอกาสให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อเพิ่มสวัสดิการเงินได้เมื่อออกจากงานและเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตของพนักงานและครอบครัว
เงื่อนไขการลงทุน
- อัตราเงินสะสมและสมทบตั้งแต่ 2% - 15% ของค่าจ้าง
- การหักลดหย่อนภาษีของการลงทุนใน PVD เมื่อรวมกับ RMF กบข. กองทุนสงเคราะห์ครู ต้องไม่เกิน 500,000 บาทในแต่ละปี
- ต้องเป็นสมาชิกกองทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งจำนวน รวมถึงกรณีเสียชีวิต และทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุน นำมาลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท
- เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุน ส่วนที่เกิน 10,000 บาทแต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้างและไม่เกิน 490,000 บาท ไม่ต้องนำไปรวมเพื่อเสียภาษีเงินได้
- กรณี สิ้นสุดสมาชิกกองทุน เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน
- กรณี สิ้นสุดสมาชิกกองทุน เมื่อออกจากงาน และอายุงานมากกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี ให้นำเงินสมทบรวมทั้งผลประโยชน์ของเงินสะสมและสมทบ ไปคำนวณภาษี และมีสิทธิเลือกเสียภาษีแบบแยกยื่น โดยหักค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้
7,000 บาท X อายุงาน เหลือเท่าใดหักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 แล้วนำเงินที่เหลือไปคำนวณภาษี - กรณี สิ้นสุดสมาชิกกองทุน แต่มีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องนำเงินสมทบรวมทั้งผลประโยชน์ของเงินสะสมและสมทบไปรวมเพื่อคำนวณภาษี (นำไปรวมกับรายได้อื่นเพื่อเสียภาษี)
การเลือกการลงทุนแบบ Employee’s Choice
คือ ทางเลือกที่เปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้ตามความเหมาะสมของตนเอง โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ อายุตัว จำนวนเงินลงทุน จำนวนเงินเป้าหมาย ระยะเวลาการลงทุน และประมาณการผลตอบแทนที่ต้องการที่คาดหวัง เช่น หากเรารับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ก็สามารถเลือกแผนลงทุนในหุ้น 10 % – 20% ส่วนที่เหลือ จะลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กลุ่มตราสารหนี้ ในทางกลับกัน หากรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นหรือค่อนข้างสูง เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว (ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุน้อยหรือสามารถลงทุนในระยะยาวมากกว่า 10 ปี) ก็สามารถเลือกสัดส่วนลงทุนในตราสารทุน 50 % ขึ้นไป และสามารถปรับสัดส่วนการลงทุน และ/หรือ เปลี่ยนนโยบายการลงทุนได้ระหว่างทาง ตามภาวะการณ์เศรษฐกิจและภาวะทิศทางการลงทุน หรือ ตามสถานะการเงิน/ปัจจัยอื่นใดที่เปลี่ยนไปของเรา อีกด้วย
การเลือกกำหนดอัตราเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองลี้ยงชีพ
หลักการที่สำคัญของการออมเงินเพื่อการเกษียณผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ การกำหนดให้มีการจ่ายเงินเข้ากองทุนในอัตราเงินสะสมและสมทบตั้งแต่ 2% - 15% ของค่าจ้างภายใน 3 วันทำการนับจากวันจ่ายค่าจ้าง ดังนั้นในทุกๆ เดือนจึงมีการทยอยจ่ายเงินออมเข้ากองทุนในลักษณะถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging: DCA) ซึ่งจะส่งผลให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะการลงทุนในภาวะการณ์ลงทุนที่ผันผวนมากเกินไป เนื่องจากเราได้ทยอยนำเงินมาลงทุนในทุกช่วงเวลาของภาวะการณ์ตลาดเงินตลาดทุน อีกทั้งเรายังสามารถเลือกกำหนดการจ่ายอัตราเงินสะสมตั้งแต่ 2% - 15% ของค่าจ้าง เข้ากองทุนได้ตามกำลังความสามารถในการออม ตามประมาณการเงินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขึ้นกับภาระและสถานะทางการเงินของเราในแต่ละช่วงชีวิต โดยในข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีการระบุเรื่องการกำหนดเงื่อนไขและช่วงระยะเวลาที่สมาชิกกองทุนสามารถแจ้งความประสงค์กำหนดและ/หรือเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุน
การคงเงินในกองทุน และการโอนย้ายเงินกองทุน
กรณี ลาออกจากงานในบริษัทเดิม พนักงานสามารถขอคงเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เดิมได้ไม่ต่ำกว่า 90 วัน หรือ ตามที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน และ/หรือโอนย้ายไปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัทใหม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ที่สะสมอยู่ไปลงทุนต่อเนื่องในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยประโยชน์ที่ได้รับคือ ไม่ต้องเสียภาษีจากการนำเงินออกจาก PVD ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อเนื่อง ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มก็ได้ แต่ต้องถือครองเงินกองทุนจนถึงอายุ 55 ปี และนับเวลารวมกับการถือครอง PVD แล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
การวางแผนเกษียณผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ การเริ่มต้นการออมให้เร็วที่สุด จะช่วยลดความเสี่ยงของโอกาสที่เงินจะไม่เพียงพอใช้ในยามเกษียณให้น้อยลง รวมทั้งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี สามารถบรรลุเป้าหมายในอนาคตได้เร็ว นอกจากนี้ เราควรจะเก็บสะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราที่สูงเต็มความสามารถเต็มกำลังการออมเงิน ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินสมทบของนายจ้างที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนให้เราตามเกณฑ์ของข้อบังคับกองทุน ยิ่งจะส่งผลเพิ่มกำลังเงินออมให้บรรลุจำนวนเงินเป้าหมายเพื่อการเกษียณมากขึ้น และอาจจะใช้ระยะเวลาสั้นลงในการเก็บเงิน การออมเงินอยู่ในกองทุนให้นานที่สุดอย่างต่อเนื่องจะช่วยในเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกทั้ง เราสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และ ภาวะการณ์การลงทุนได้ จะช่วยลดความกังวลใจว่า บางจังหวะบางช่วงเวลา เงินกองทุนอาจมีผลตอบแทนที่ผันผวน แต่การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้น อย่าตระหนกตกใจ เพราะหากเราลงทุนระยะยาว ความเสี่ยงความผันผวนจากการลงทุนจะยิ่งลดลง
เพียงเท่านี้การจะมีเงินเพียงพอเพื่อวัยเกษียณก็คงไม่ไกลเกินความสามารถและใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข