บทความ: ลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนแบบไหนที่เหมาะสำหรับนักลงทุน
โดย คุณรัฐพล วชิรเมฆากุล นักวางแผนการเงิน CFP®
กลยุทธ์การลงทุนแบบไหนเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีประสบการณ์ เป็นหนึ่งในข้อสงสัยสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลา ความรู้ ความชำนาญ ที่กำลังเริ่มต้นสะสมความมั่งคั่ง และพยายามค้นหาวิธีที่เหมาะสมในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน โดยจะลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาว หรือ ลงทุนระยะสั้นเพื่อจับจังหวะตลาดแบบซื้อๆ ขายๆ ให้พอได้กำไรในแต่ละครั้งที่มีการซื้อขาย แบบไหนเหมาะกว่ากัน
การลงทุนระยะยาวมีข้อดี คือ ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องตัดสินใจซื้อหรือขายบ่อยครั้ง ข้อเสีย คือ จำเป็นต้องทนเห็นกำไรลดลงไปหรือบางครั้งอาจถึงขั้นขาดทุนในช่วงตลาดขาลงให้ได้ ส่วนการลงทุนระยะสั้นเพื่อจับจังหวะตลาด หากทำถูกจังหวะนักลงทุนจะสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการซื้อขาย แต่ก็มีข้อเสีย คือ ต้นทุนจากค่าธรรมเนียมในการซื้อขายสูงกว่า จากการซื้อขายบ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสอาจตัดสินใจซื้อขายผิดพลาด ข้อมูลเพียงเท่านี้คงไม่สามารถตอบได้ว่า เราควรเลือกกลยุทธ์ลงทุนระยะยาว หรือควรลงทุนระยะสั้นเน้นจับจังหวะตลาด เพื่อให้เห็นข้อมูลในอดีต ขอพาท่านผู้อ่านไปดูข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในประเทศสหรัฐอเมริกากัน
Source: J.P. Morgan, Market Insights, Guide to Markets, Q2 2020, as of 31 March 2020, Page 95
จากข้อมูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 – 31 มีนาคม ค.ศ. 2020 การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ตามดัชนี S&P 500 (กราฟแท่งสีเทา) พบว่าหากลงทุนระยะสั้นเพียง 1 ปี (1-yr rolling หมายถึง เริ่มต้นลงทุนต้นปี สิ้นสุดการลงทุนสิ้นปี) ช่วงผลตอบแทนที่ได้อยู่ระหว่าง -43% ต่อปีถึง +61% ต่อปี จะเห็นว่าช่วงของผลตอบแทนสูงมาก ถ้าหากสามารถยืดระยะเวลาลงทุนออกไปเป็น 10 ปี (10-yr rolling) ช่วงผลตอบแทนที่ได้อยู่ระหว่าง -3% ต่อปีถึง +21% ต่อปี และถ้าสามารถเพิ่มระยะเวลาลงทุนเป็น 20 ปี (20-yr rolling) ช่วงผลตอบแทนที่ได้อยู่ระหว่าง +4% ต่อปีถึง +18% ต่อปี จะเห็นได้ว่าจากสถิติที่ผ่านมา หากสามารถลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โอกาสขาดทุนจะน้อยมากๆ และถึงแม้ขาดทุนตัวเลขการขาดทุนก็ไม่มากเมื่อเทียบกับการลงทุนในระยะสั้น
แต่ถ้ามั่นใจว่าเรามีข้อมูล และความรู้ความสามารถในการจับจังหวะลงทุนได้ จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนระยะยาวหรือไม่ โดยหวังว่า เพียงทำให้จำนวนครั้งที่จับจังหวะถูกต้องและได้กำไรมากกว่าจำนวนครั้งที่จับจังหวะผิดแล้วขาดทุน ก็จะสามารถทำกำไรได้แล้ว ไม่ต้องมาทนลงทุนยาวๆ เรามาดูสถิติของ S&P 500 กันอีกครั้ง
Source: J.P. Morgan, Retirement Insights, Guide to Retirement, 2020 edition, Page 43
ระหว่างวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2000 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 2019 หากเราทำการลงทุนต่อเนื่อง (Fully Invested) ในดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 6.06% ต่อปี เทียบกับการลงทุนระยะสั้นจับจังหวะซื้อขาย หากเราจับจังหวะในการเข้าลงทุนพลาดวันที่ดีที่สุดของตลาดไปเพียง 10 วันตลอดระยะเวลาลงทุน 20 ปี ผลตอบแทนจะลดลงจาก 6.06% ต่อปี เหลือเพียง 2.44% ต่อปี อาจพูดได้ว่าผลตอบแทนจะหายไปถึง 3.62% ต่อปี ซึ่งไม่น้อยเลย หากเราเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท ตลอดระยะเวลา 20 ปีตามข้อมูลในกราฟ ด้วยผลตอบแทน 6.06% ต่อปี มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นปี 2019 คิดเป็นเงิน 32,421 บาท ส่วนกรณีลงทุนแบบจังหวะซื้อขาย และพลาดวันที่ดีที่สุด 10 มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นปี 2019 คิดเป็นเงินเพียง 16,180 บาท จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนเมื่อเทียบเป็นตัวเงินต่างกันประมาณ 16,241 บาท หรือต่างกันเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
จากประสบการณ์ในการให้คำแนะนำลูกค้าที่เป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการ พนักงานบริษัท หรืออาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล และอื่นๆ เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สม่ำเสมอ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน ไม่มีประสบการณ์ลงทุน ไม่มีเวลาในการดูแลพอร์ตการลงทุน คำแนะนำในฐานะนักวางแผนการเงินในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดพอร์ตลงทุน คือ ให้เลือกกลยุทธ์ตามเป้าหมายการเงิน หากเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเป้าหมายเกี่ยวกับการเก็บเงินเกษียณอายุ เบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ ทุนการศึกษาบุตรในระดับปริญญาตรี ฯลฯ พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายดังกล่าว คือ พอร์ตลงทุนระยะยาวที่มีระยะเวลาลงทุนตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะคล้ายกับเป้าหมายของท่านผู้อ่านหลายๆ ท่าน
อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่มั่นใจว่าเป้าหมายการเงินของท่านควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร ลองปรึกษานักวางแผนการเงิน เพื่อทำหน้าที่เพื่อนคู่คิด ช่วยวางแผนการเงิน เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน เพราะแผนการเงินมีอะไรให้คิดมากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนครับ