บทความ: ลงทุน
เอาชนะเงินเฟ้อที่แท้จริงผ่านการลงทุน
โดย คุณชัยสิทธิ์ นพรุจชโนดม นักวางแผนการเงิน CFP®
ถ้าพูดถึงเงินเฟ้อทุกคนจะเข้าใจว่าเงินเฟ้อคือราคาสินค้าที่แพงขึ้น ก็อาจจะใช่แต่อยากจะให้ทำความเข้าใจความหมายอย่างนี้ คือ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) คือ ดัชนีชี้วัดราคาสินค้าและบริการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น คนชอบเปรียบเทียบกับอาหารประเภท ข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวในอดีตซัก 20-30 ปีก่อน ราคาประมาณ 5-10 บาท แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 40-50 บาท ราคาแพงขึ้น หรือจะเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ทราบว่ามีใครพอทันตอนน้ำมันราคา 8-9 บาทต่อลิตรบ้าง น้ำมันเคยไปแพงสุดๆ ประมาณเกือบ 50 บาทต่อลิตรมาแล้ว แต่ราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นลงตามปริมาณอุปสงค์อุปทานของตลาดโลก ถึงอย่างนั้นก็ตามราคาน้ำมันในปัจจุบันก็ไม่ได้กลับไปที่ราคาเดิมในอดีต เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงมูลค่าเงินเราลดลงนั่นเอง ขออธิบายต่อเรื่องอัตราเงินเฟ้อว่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ 7 หมวด ได้แก่ อาหาร-เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม-รองเท้า เคหสถาน การรักษา-บริการ พาหนะขนส่ง-การสื่อสาร บันเทิง การอ่าน การศึกษา ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า Inflation จะรวมการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการทุกประเภท จึงจะมีความผันผวนมากกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
- อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) หมายถึง อัตราเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการ ที่ไม่รวมสินค้าประเภทอาหารสด และพลังงาน มารวมคำนวณ จึงมีความผันผวนน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป
การดำเนินนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อไม่ให้ราคาสินค้าและบริการเกิดความผันผวนเกินไป ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) และการที่จะเอาชนะเงินเฟ้อได้ ก่อนอื่นเราต้องทราบว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นเท่าไร จากข้อมูลสรุปประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th) ดังตารางด้านล่าง
ร้อยละ |
2562* |
2563 |
2564 |
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ |
2.4 |
-5.3 (2.8) |
3.0 |
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป |
0.7 |
-1.0 (0.8) |
0.3 |
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน |
0.5 |
-0.1 (0.7) |
0.1 |
หมายเหตุ : * ข้อมูลจริง ( ) รายงานนโยบายการเงิน ธันวาคม 2562
อย่างไรก็ตาม การจะเอาชนะเงินเฟ้อควรใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยย้อนหลังที่ผ่านมาหรือเป้าหมายเงินเฟ้อของนโยบายการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ เนื่องจากถ้าดูเฉพาะตัวเลขในปี 2563 ที่เป็นตัวเลขประมาณการจะเห็นว่าเป็นตัวเลขติดลบ เนื่องจากผลกระทบจากไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง รวมถึงปัญหาระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียกับรัสเซีย ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องกำลังการผลิตน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันปรับลดลง เป้าหมายเงินเฟ้อสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี 2563 กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกันและเห็นชอบที่จะใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 ต่อปี เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงิน แทนที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ 2.5 ± 1.5 ต่อปี ซึ่งเป้าหมายใหม่นี้มีองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้น การออมหรือการลงทุนเพื่อให้ชนะเงินเฟ้อ หรือทำให้มูลค่าของเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่จะบั่นทอนให้มูลค่าของเงินลดลงตามเวลาที่ผ่านไป ต้องเลือกให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่แต่ละท่านยอมรับได้ เริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่ทุกท่านรู้จักกัน คือการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ มีตั้งแต่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ เงินฝากปลอดภาษี อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับแตกต่างกันตามระยะเวลาแต่ละบัญชีเงินฝากแต่ละประเภทและแต่ละสถาบันการเงินที่รับฝากเงิน โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยสำหรับบุคคลทั่วไปตั้งแต่ร้อยละ 0.75 – 1.30 ต่อปี ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับขอบล่างคือร้อยละ 1 ต่อปี การเลือกฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะพอเพียงสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับขอบบนคือร้อยละ 3-4 ต่อปี การฝากเงินเพียงทางเดียวผลตอบแทนที่ได้รับไม่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ บางครั้งอาจจะต้องเปลี่ยนจากการออมเงินเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ทางเลือกในการลงทุนมีหลากหลาย ตั้งแต่การลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล หรือจะเลือกการลงทุนโดยตรงด้วยตัวท่านเอง มีทั้งที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินหรือสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ ตามระดับความเสี่ยงตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง ขึ้นกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละท่าน สินทรัพย์ในการลงทุนมีตั้งแต่ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารทุน ทั้งในและต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยง รวมถึงสภาพคล่องในแต่ละสินทรัพย์ย่อมไม่เท่ากัน
ดังนั้น จากสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน การลงทุนในแต่ละสินทรัพย์มีความผันผวนค่อนข้างมาก ทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสม ควรจัดพอร์ตลงทุนแบบ Global Asset Allocation คือ การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลาย และจัดสรรเงินลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก จะทำให้ความผันผวนในพอร์ตลงทุนโดยรวมลดลงเป็นการกระจายความเสี่ยง สร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระยะยาวที่เป็นบวก เนื่องจากผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ในแต่ละปี ไม่มีสินทรัพย์ใดให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุดทุกปี ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเลือกน้ำหนักการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ทุกท่านยอมรับได้ และปรับสมดุลของพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ผลตอบแทนในระยะยาวจึงจะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อที่แท้จริงได้