logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

ลงทุนกองทุนปันผล หรือไม่ปันผล แบบไหนดีกว่ากัน?

โดย นพพล มงคลานันท์กุล นักวางแผนการเงิน CFP®
ที่มา : นิตยสาร Money & Wealth ฉบับเดือนกันยายน 2561

 

ปัจจุบันการลงทุนในกองทุนรวมนั้นมีกองทุนให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้หลากหลายนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศหรือกองทุนที่มีการ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศ นอกจากนั้นในบางกองทุนยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล (Dividend) ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนให้เหมาะกับเป้าหมายของตนเอง 

 

สำหรับกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลผู้ถือหน่วยลงทุนจะมีโอกาสได้รับกระแสเงินสด โดยอัตราการจ่ายเงินปันผลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของกองทุนนั้นๆ แต่สำหรับกองทุนที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลทางผู้จัดการกองทุนจะนำเงินไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 

 

 ยกตัวอย่างเช่น 
กองทุน A มีนโยบายจ่ายเงินปันผล กองทุน B ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ทั้ง 2 กองทุนมีราคา NAV 10 บาท โดยลงทุนกองทุนละ 100,000 บาท ต่อมาในปีที่ 1 ราคา NAV ของ 2 กองทุนปรับขึ้นมา 10% หรือหน่วยละ 11 บาทเท่ากันทั้งคู่ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกองทุนละ 110,000 บาท 


หลังจากนั้นกองทุน A ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตรา 1 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ราคา NAV ปรับลดลงมาอยู่ที่ 10 บาท ซึ่งโดยปกติราคา NAV นั้นมีโอกาสที่จะปรับลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกับเงินปันผลที่กองทุนจ่ายออกมา สำหรับเงินปันผลจากกองทุนรวมโดยทั่วไปนั้น ถือเป็นเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีผู้ลงทุนสามารถเลือกให้หักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินปันผลไว้ 10%  และไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ ดังนั้นกระแสเงินสดคงเหลือที่ผู้ลงทุนจะได้รับหลังหักภาษี ณ ที่จ่ายจะอยู่ที่ 9,000 บาท (10,000 บาท -10%) หรือหากเลือกไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายก็จะต้องนำเงินที่ได้รับไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ในปีภาษีที่ได้รับเงินปันผลนั้น  ส่วนกองทุน B ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV จึงอยู่ที่ 11 บาท (เท่าเดิม) 

 

ในปีที่ 2 หากราคา NAV  ทั้ง 2 กองทุนปรับขึ้นมาอีก 10% โดยราคา NAV กองทุน A กลับมาอยู่ที่ 11 บาท (ภายหลังจากการจ่ายเงินปันผลราคา NAV เท่ากับ 10 บาท) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 110,000 บาท ส่วนราคา NAV กองทุน B ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 12.10 บาท (จากเดิม 11 บาท) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 121,000 บาท  


โดยสรุปแล้วผู้ที่ลงทุนในกองทุน A จะได้รับกระแสเงินสดจากเงินปันผลหลังหักภาษี ณ ที่จ่ายจำนวน 9,000 บาทไปใช้จ่ายก่อน เมื่อรวมกับมูลค่าปัจจุบันที่ 110,000 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 119,000 บาท ส่วนผู้ที่ลงทุนกองทุน B ในช่วงที่สินทรัพย์ปรับตัวขึ้น มูลค่าเงินลงทุนจะอยู่ที่ 121,000 บาท  ซึ่งเกิดจากเงินลงทุนที่ทางผู้จัดการกองทุนนำเงินไปลงทุนต่อจึงช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ 

 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเลือกลงทุนในกองทุน A ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล จะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการรับกระแสเงินสดไปใช้จ่ายช่วยให้ผู้ลงทุนมีสภาพคล่อง แต่เงินปันผลในส่วนนี้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี  ส่วนกองทุน B ที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลจะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระแสเงินสด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนได้ และเมื่อต้องการกระแสเงินสดออกมาใช้จ่ายก็สามารถทำการขายคืนกองทุน B ออกมา  

 

สุดท้ายนี้การเลือกกองทุนปันผลหรือไม่ปันผลให้เหมาะกับความต้องการของตนเองย่อมจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนการบริหารเงินได้ตรงกับความต้องการและสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th