logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ภาษีและมรดก

รายได้และภาษีจากค่าเช่า

 

คุยเรื่องการวางแผนการเงินมาเยอะ มาวันนี้มาคุยเรื่องภาษี กับ รายได้แบบ passive income ที่นิยมกันอย่างหนึ่งของคนไทย คือ การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ เรามาดูคำถามของน้องท่านนี้กันเลยครับ

สามารถสอบถามเกี่ยวกับภาษีบุคคลรายได้ค่าเช่าได้ไหมคะ ถ้าอสังหาที่ให้เช่าเป็นชื่อแม่ แต่ผู้ดูแลรับ-จ่าย คือเรา เราต้องเป็นผู้นำรายได้ไปยื่นภาษีใช่ไหม ค่าไฟตามบิลหลวง ค่าน้ำคิดเอง แต่ชื่อผู้ใช้เป็นแม่ แบบนี้สามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาหักกับรายได้ที่เรายื่นภาษีได้ไหม

ในประเด็นเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากค่าเช่าที่มีชื่อทรัพย์สินเป็นของแม่ แต่น้องเป็นผู้ดูแลรับ-จ่ายเงิน มีข้อที่ต้องพิจารณาและขออธิบายดังนี้

​1. ใครคือผู้มีเงินได้ที่ต้องยื่นภาษี?

​โดยหลักการทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ที่มีหน้าที่นำรายได้ค่าเช่าไปยื่นภาษีคือ "เจ้าของกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินที่ให้เช่า" หรือ "ผู้รับประโยชน์จากค่าเช่า" ซึ่งในกรณีนี้คือ แม่ ของน้อง ครับ

  • ​ทรัพย์สินเป็นชื่อแม่: การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จัดเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน (คือแม่) ต้องเป็นผู้มีหน้าที่นำรายได้ค่าเช่าไปยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91)
  • ​น้องเป็นผู้ดูแลรับ-จ่าย: การที่น้องเป็นผู้ดูแลรับ-จ่ายเงินค่าเช่าแทนแม่ ไม่ได้ทำให้น้องกลายเป็นผู้มีเงินได้ ในทางภาษี (เว้นแต่จะมีการโอนกรรมสิทธิหรือมีข้อตกลงที่ชัดเจนว่าเงินได้นั้นเป็นของน้องโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างเช่น ทำสัญญาจดสิทธิเก็บกิน*)
  • ​สรุป: แม่ของน้อง คือผู้ที่ต้องนำรายได้ค่าเช่าไปยื่นภาษี น้องสามารถช่วยท่านจัดการเรื่องการยื่นภาษีได้ในฐานะผู้ดูแลเอกสารและการเงิน

เคยมีกรณีที่ผู้ให้เช่าในสัญญาเช่า กับ เจ้าของโฉนด คือคนละคนกัน หลักการพิจารณาเป็นดังนี้ ครับ

หลักการทางกฎหมายแพ่งและสัญญาเช่า

  • ​ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การทำสัญญาเช่า ไม่จำเป็นว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ ในทรัพย์สิน (เจ้าของโฉนด) ผู้ให้เช่าอาจเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครอง หรือเป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้จัดการทรัพย์สินนั้นได้
  • ​กรณีนี้ ถ้าสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าชื่อลูก การที่ลูกเป็นผู้ลงนามในสัญญาเช่าในฐานะผู้ให้เช่า ทำให้ลูกมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า

​หลักการทางภาษี (ใครคือผู้มีเงินได้?)

​รายได้ค่าเช่าถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคือ "ผู้ที่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์จากค่าเช่านั้น"

แม้สัญญาเช่าจะเป็นชื่อ ลูก แต่การพิจารณาว่าใครต้องเสียภาษีเงินได้นั้น กรมสรรพากรจะพิจารณาจาก "ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นจริง ๆ"

  1. ​ถ้าเงินค่าเช่าเข้าบัญชีลูกโดยตรง และลูกเป็นผู้เก็บเงินนั้นไว้ใช้เองทั้งหมด:
    • ​ลูกมีหน้าที่นำเงินได้ค่าเช่านั้นไปยื่นเสียภาษี
  2. ​ถ้าเงินค่าเช่าเข้าบัญชีลูก แต่ลูกนำเงินไปมอบให้แม่ทั้งหมด หรือนำเงินไปใช้จ่ายตามคำสั่ง/เพื่อประโยชน์ของแม่ทั้งหมด (เช่น เอาไปจ่ายค่างวดบ้านให้แม่):
    • ​แม่ยังคงเป็นผู้มีเงินได้และมีหน้าที่นำไปยื่นเสียภาษี เพราะถือว่าแม่เป็นเจ้าของทรัพย์และได้รับประโยชน์จากดอกผลของทรัพย์สิน
  3. ​ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด: เนื่องจากแม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิในโฉนด ถ้าไม่มีการโอนสิทธิเก็บกิน (สิทธิที่เจ้าของให้คนอื่นเก็บดอกผลของทรัพย์สินได้) อย่างเป็นทางการ สรรพากรอาจสันนิษฐานได้ว่ารายได้นั้นควรเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ (แม่) เป็นหลัก ดังนั้น แม่และลูกควรตกลงและมีหลักฐานการรับเงินที่ชัดเจน ว่าใครคือผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง

​ข้อแนะนำและสิ่งที่ควรทำ​เพื่อป้องกันปัญหาทางภาษีในอนาคต:

  • ​ทำเรื่อง "สิทธิเก็บกิน" (ถ้าทำได้): หากแม่ตั้งใจให้รายได้นี้เป็นของลูกอย่างแท้จริง ควรพิจารณาจดทะเบียน "สิทธิเก็บกิน" (Usufruct) ในโฉนดที่สำนักงานที่ดิน เพื่อให้ลูกมีสิทธิในดอกผล (ค่าเช่า) ของทรัพย์สินนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นที่ยอมรับของสรรพากร
  • ​สร้างหลักฐานการเงินที่ชัดเจน: สัญญาเช่า บันทึกการรับและจ่ายค่าเช่า ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกับชื่อผู้เสียภาษี เช่น ถ้าให้ลูกเสียภาษี เงินค่าเช่าควรเข้าบัญชีลูก และใช้จ่ายในนามลูกอย่างชัดเจน

​ในกรณีนี้ หากไม่มีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกิน และเพื่อความปลอดภัยทางกฎหมายภาษี ​แนะนำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (แม่) เป็นผู้นำรายได้ไปยื่นเสียภาษี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่ว่าดอกผลของทรัพย์สินเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน เว้นแต่จะมีข้อพิสูจน์/เอกสารทางกฎหมายที่แสดงเป็นอย่างอื่น

​2. การหักค่าใช้จ่ายสำหรับรายได้ค่าเช่า

​รายได้ค่าเช่า (40(5)) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ:

​วิธีที่ 1: หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา

  • ​สำหรับการให้เช่า บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือแพ สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ในอัตราร้อยละ 30% ของค่าเช่าที่ได้รับ
  • ​วิธีการนี้ ไม่ต้องมีหลักฐานใบเสร็จค่าใช้จ่าย ประกอบการหัก

​วิธีที่ 2: หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร (หักตามจริง)

  • ​ต้องมีหลักฐานเอกสารการจ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าโดยตรงและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

แต่เนื่องจากรายได้จากค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) ซึ่งสรรพากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) – (8) และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้รายจ่ายประจำวันเรียกว่า “รายงานเงินสดรับ - จ่าย” เก็บรักษารายงานเงินสดรับ – จ่าย ไม่น้อยกว่า 5 ปี โทษของการไม่ทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย ปรับไม่เกิน 2,000 บาทตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร

(https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/Info-sme-280666.pdf)

คำถามของน้องเกี่ยวกับค่าไฟและค่าน้ำ:

  •  
  • ​ค่าใช้จ่ายที่นำมาหักตามจริงได้: โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายที่นำมาหักตามจริงได้จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการให้เช่าทรัพย์สิน เช่น ค่าซ่อมแซม ค่าบำรุงรักษา หรือดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า
  • ​ค่าไฟและค่าน้ำ: หากค่าไฟ (ตามบิลหลวง) และค่าน้ำ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพย์สินของผู้เช่า และผู้เช่าเป็นผู้รับภาระจ่ายให้หน่วยงานโดยตรง หรือจ่ายให้น้องเพื่อนำไปชำระต่อ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของทรัพย์สิน (แม่) สามารถนำมาหักจากรายได้ค่าเช่าได้ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายของผู้เช่า ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการหารายได้ของเจ้าของ
  • ​ชื่อผู้ใช้บิลเป็นแม่: แม้ชื่อผู้ใช้จะเป็นแม่ แต่ถ้าโดยข้อเท็จจริงเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้ของผู้เช่า ซึ่งผู้เช่านำมาชำระคืน จะไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการให้เช่าที่นำมาหักได้

​ข้อแนะนำ: สำหรับรายได้ค่าเช่า มักจะนิยมเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 30% เนื่องจากง่ายกว่าและอาจคุ้มค่ากว่าหากค่าใช้จ่ายตามจริงมีไม่มากนัก แต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะนำใบเสร็จมาหักบางส่วนแล้วหักเหมาบางส่วนไม่ได้ แต่ตามมาตรา 5(1)(ค) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 กำหนดให้ผู้ให้เช่าที่ดินที่มิใช่เพื่อการเกษตรต้องเป็น “เจ้าของ” เท่านั้นจึงจะสามารถคำนวณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ กรณีผู้เช่าเป็นผู้มีสิทธิเก็บกินซึ่งมิใช่เจ้าของจึงไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ ต้องหักค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น ดังนั้น หากแม่จดสิทธิเก็บกินให้ลูก ลูกเป็นผู้ให้เช่า ลูกจะเป็นผู้มีเงินได้ แต่การหักค่าใช้จ่ายจะหักได้ตามจ่ายจริงเท่านั้น

​3. สรุปและข้อควรระวัง

  1. ​ผู้ยื่นภาษี: คือ แม่ ของน้องในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน/ผู้มีเงินได้
  2. ​การหักค่าใช้จ่าย: แม่ต้องเลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง หักเหมา 30% หรือ หักตามจริง
  3. ​ค่าไฟ/ค่าน้ำ: หากเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่าใช้และจ่ายคืน ไม่สามารถ นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของเจ้าของทรัพย์สินได้

และอีกอย่างที่สำคัญ อย่าลืมยื่นภาษีครึ่งปีด้วย (ภ.ง.ด.94)

ภ.ง.ด.94 คือ แบบชำระภาษีรอบครึ่งปี สำหรับผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) – (8)  โดยการยื่นภาษีกลางปีจะคำนวณจากการสรุปรายได้ทั้งหมดตั้งแต่เดือน 1 มกราคม – 30 มิถุนายน โดยหากมีรายได้เกิน 60,000 บาท (สำหรับคนโสด) หรือมากกว่า 120,000 บาท (สำหรับผู้ที่สมรส) จำเป็นต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ทั้งสิ้น ซึ่งไม่รวมจากรายได้จากงานประจำ

*สิทธิเก็บกินคือ ทรัพยสิทธิ ที่ให้บุคคลอื่นมีสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าของกรรมสิทธิให้ ครอบครอง ใช้สอย และถือเอาประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียงสิทธิที่จะจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งยังเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ โดยผู้ทรงสิทธิสามารถนำทรัพย์สินนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การปลูกพืช เก็บผลผลิต หรือให้เช่าเพื่อเก็บค่าเช่าได้เอง

รายละเอียดสำคัญของสิทธิเก็บกิน

  • อำนาจของผู้ทรงสิทธิ: ผู้ทรงสิทธิมีอำนาจในการครอบครอง ใช้สอย ถือเอาประโยชน์จากทรัพย์สิน และจัดการทรัพย์สินได้ เช่น การให้เช่าและเก็บค่าเช่า
  • อำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ: ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ แต่จะถูกจำกัดอำนาจลงไปมาก เหลือเพียงสิทธิในการขายทรัพย์สินเท่านั้น
  • การได้มา: ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน
  • การสิ้นสุด: สิทธิเก็บกินจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ทรงสิทธิเสียชีวิต หรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา (หากมี)
  • การโอนสิทธิ: ผู้ทรงสิทธิเก็บกินสามารถโอนสิทธิให้บุคคลอื่นได้ เว้นแต่จะมีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา
ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th