logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: บริหารจัดการเงิน

อยากส่งลูกเรียนอินเตอร์ วางแผนอย่างไร

 

“อยากส่งลูกเรียนอินเตอร์ตอนมัธยม แต่ตอนนี้ยังไม่มีเงินเก็บเลย…จะเริ่มยังไงดีคะ?”

หนูชื่อหนิง อายุ 42 ปี มีลูกชายอายุ 8 ขวบ รายได้รวมของครอบครัวประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน
ฝันอยากให้ลูกมีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง อยากส่งเรียนอินเตอร์ช่วงมัธยม
ดูคร่าว ๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท

แต่ปัญหาคือ...ตอนนี้ยังไม่มีเงินเก็บเพื่อจุดประสงค์นี้เลยค่ะ

ควรเริ่มเก็บเดือนละเท่าไหร่? และควรออม-ลงทุนยังไงให้เงินงอกทันเวลา โดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายครอบครัว?

– หนิง แม่ที่อยากให้ลูกได้เลือกอนาคต

 

เชื่อครับ การให้การศึกษาที่ดีที่สุดแก่ลูกเป็นความฝันที่สูงที่สุดของพ่อแม่เช่นกัน ที่บริษัทเก่าที่ผมเคยทำงานอยู่ มีพนักงานขับรถของบริษัทท่านหนึ่งที่รู้กันทั้งบริษัทว่า ขับรถดี รับผิดชอบต่องานดีมาก และยังเป็นคนที่ประหยัดมาก ไม่กินเหล้า ไม่สังสรรค์กับเพื่อนฝูง เลิกงานเสร็จก็ไปขับรถรับจ้างทั่วไปอีก เหตุผลกมีเพียงข้อเดียว คือ “เก็บเงินส่งเสียให้ลูกเรียนอินเตอร์”

ตอนที่รู้เหตุผล เราก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นทันที 2 อย่าง คือ

  1. ทึ่ง ในความสามารถของพ่อที่รายได้ไม่เยอะ แต่สามารถส่งลูกเรียนอินเตอร์ได้
  2. ซึ้งในความรักของพ่อที่มีต่อลูก ยอมลำบากเพื่อความสุขและอนาคตของลูก

และก็มีอีกหนึ่งความคิดเกิดขึ้นมาทันทีเหมือนกัน “คุ้มมั๊ย”

ดังนั้นในกรณีของคุณ “หนิง แม่ที่อยากให้ลูกได้เลือกอนาคต” มีข้อคิดที่ควรพิจารณา 4 ประเด็น คือ

  1. “คุ้มมั๊ย?” กับการส่งลูกเรียนอินเตอร์ช่วงมัธยม กับ ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้
  2. ถ้าสรุปว่า “คุ้ม” จะบริหารเงินยังไงถึงจะพอส่งลูกเรียน
  3. ถ้าสรุปว่า “ไม่สามารถบริหารเงินได้เพียงพอ” มีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจหรือไม่
  4. ถ้าเลือก “ทางเลือกอื่น” จะบริหารจัดการเงินอย่างไร

“คุ้มมั๊ย?” กับการส่งลูกเรียนอินเตอร์ช่วงมัธยม กับ ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้

“คุ้มมั๊ย?” คนเป็นแม่อาจตอบทันทีว่า “คุ้ม” แต่ "คุ้มมั๊ย?" จริงๆไม่ใช่แค่รู้สึก แต่มันคำนวณได้ และเราควรคำนวณด้วย เพื่อจะได้รู้ว่า “คุ้มมั๊ย?” โดยไม่มีอคติ

หลักคิด “คุ้มมั๊ย?” ในเชิงเศรษฐศาสตร์ เรียกกันว่า “Marginal Thinking หรือ การคิดเชิงส่วนเพิ่ม” พูดง่ายๆ ก็คือ:

“ถ้าทำอะไรเพิ่มอีกนิด สิ่งที่ได้ มันคุ้มกับสิ่งที่ทำเพิ่มมั๊ย?”

การตัดสินใจที่ดี ไม่ใช่แค่มองว่า "ทำอย่างนี้คุ้มมั๊ยกับสิ่งที่เราต้องเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม เวลาที่ต้องเสีย หรือ การที่ต้องทำอะไรเพิ่ม ฯลฯ” แต่จะมองว่า "ประโยชน์ที่ได้จากการทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” เทียบกับ สิ่งที่เราทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” มันคุ้มมั๊ยกับสิ่งที่จะได้?"

  • ถ้าประโยชน์ที่ได้จากการทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” มากกว่า สิ่งที่เราทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” ก็คุ้มที่จะทำ
  • ถ้าประโยชน์ที่ได้จากการทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” น้อยกว่าหรือเท่ากับ สิ่งที่เราทำ “เพิ่มอีกหนึ่งหน่วย” ก็ไม่คุ้มที่จะทำ

ตัวอย่าง เช่น การอ่านหนังสือ หรือ การเข้าฟังสัมมนา คุ้มมั๊ย กับ เงินและเวลาที่เราเสียในการซื้อหนังสือ หรือ ฟังสัมมนา กับ สิ่งที่เราคาดว่าจะได้ เช่น ความรู้ ความสนุก ฯลฯ ถ้าเราพิจารณาแล้ว “ไม่คุ้ม” เราก็จะไม่ซื้อหนังสือหรือ คอร์สสัมมนา แต่ถ้าพิจารณาแล้ว “คุ้ม” เราก็จะซื้อหนังสือหรือ คอร์สสัมมนา

เรามาดูสิ่งที่เราต้องทำเพิ่มสำหรับการส่งลูกเรียนอินเตอร์ ซึ่งหลักๆก็คือ “ค่าเล่าเรียน” คุ้มมั๊ย? กับการที่เราต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเพิ่ม

เรามาลองพิจารณา 2 ทางเลือกที่ใกล้เคียงกัน คือ โรงเรียนนานาชาติ กับ โครงการภาคภาษาอังกฤษ โรงเรียนเอกชน ว่าค่าเล่าเรียนต่างกันมากน้อยแค่ไหน

ค่าเล่าเรียนระดับมัธยมโรงเรียนอินเตอร์

  • โรงเรียนมัธยมนานาชาติทั่วไปที่ไม่ใช่ top-tier: ประมาณ 300,000 ‒ 700,000 บาท/ปี
  • โรงเรียนชั้นนำ (Premium) หรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง /หลักสูตรพิเศษ (เช่น IB, British/IGCSE) อัตราจะสูงกว่านั้นมาก: ประมาณ 700,000 - 1,200,000+ บาท/ปี

ค่าเล่าเรียนระดับมัธยมโรงเรียนเอกชน โครงการภาคภาษาอังกฤษ (English program)

  • หลักสูตร EP มัธยม ระดับกลาง: ประมาณ 35,000 ‒ 70,000 บาท/ภาคเรียน หรือ 70,000 – 140,000 บาท/ปี
  • ส่วนโรงเรียน EP ที่มีชื่อเสียงหรือสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาจสูงไปถึง 80,000 - 120,000+ บาท/ภาคเรียน หรือ 160,000 – 240,000 บาท/ปี

ถ้ารวมค่าใช้จ่ายพิเศษ (เช่น อุปกรณ์ ห้องเรียนพิเศษ กิจกรรมนอกหลักสูตร ค่ารถรับ-ส่ง ฯลฯ) ก็อาจบวกเพิ่มอีกเป็นหลักหมื่น จนทำให้ค่าใช้จ่ายรวมต่อปีสูงขึ้นมาก

จะเห็นว่า ค่าเล่าเรียนโรงเรียนมัธยมนานาชาติสูงกว่าโครงการภาคภาษาอังกฤษของโรงเรียนเอกชนประมาณ 5 เท่า ค่าเล่าเรียนที่เราต้องจ่ายเพิ่มนี้ “คุ้มมั๊ย” กับสิ่งที่คาดว่าจะได้จากการส่งลูกเรียนอินเตอร์

แต่ค่าเล่าเรียนไม่ได้อยู่ราคานี้ไปตลอด มีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี โดยทั่วไป โรงเรียนนานาชาติในไทย มักจะขึ้นค่าเล่าเรียนอยู่ที่ ประมาณ 3-6% ต่อปี ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนชั้นนำ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะ ต้นทุนสูง (ครูต่างชาติ หนังสือ-อุปกรณ์นำเข้า ฯลฯ) อาจขึ้นเกิน 6% ได้ — บางแห่งอาจขึ้น 8-10% หรือมากกว่า ขึ้นกับต้นทุนต่างๆ

ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ อัตราการเพิ่มค่าเล่าเรียนอาจสูงกว่าที่โรงเรียนในหัวเมืองรอง เพราะต้นทุนแรงงาน อาคาร ที่ดิน ฯลฯ สูงกว่า

ส่วนโครงการภาคภาษาอังกฤษของโรงเรียนเอกชน อัตราการเพิ่มค่าเล่าเรียนอยู่ที่ประมาณ 2%/ปี ต่ำกว่าโรงเรียนอินเตอร์เยอะ

ถ้าสรุปว่า “คุ้ม” ที่จะส่งลูกเรียนอินเตอร์ จะบริหารเงินยังไงถึงจะพอส่งลูกเรียน

ระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนอินเตอร์โดยทั่วไปจะใช้เวลา 6 ปี สมมติเราเลือกโรงเรียนมัธยมนานาชาติทั่วไปที่ไม่ใช่ top-tier: ค่าเล่าเรียนประมาณ 500,000 บาท/ปี อัตราการเพิ่มค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 5%/ปี

ปีที่

ค่าเล่าเรียน

1

500,000

2

525,000

3

551,250

4

578,813

5

607,753

6

638,141

รวม

3,400,956

เด็กอายุ 8 ขวบน่าจะอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และกำลังจะเข้าชั้นประถมศึกษาตอนกลาง คือ มีเวลาออมเงิน 3 ปี เพื่อเป้าหมายการเรียนมัธยมอินเตอร์ ผลตอบแทนของเงินออมไม่ควรน้อยกว่า 5%/ปี ไม่งั้นเงินออมโตไม่ทันค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้น

ต้องออมเท่าไหร่ดี

จากการคำนวณคร่าวๆ ต้องออมปีละ 951,626 บาท (ฝากปลายปี) เป็นเวลา 3 ปี เท่ากับว่าเราต้องกันเงินออมสำหรับการศึกษาลูกเดือนละ 79,302 บาท

บริหารเงินอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่ 5%/ปี

ระยะเวลา 3 ปีถือว่าไม่ยาว ควรเลือกสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร กองทุนตราสารหนี้ และอาจเพิ่มกองทุน REITs หรือหุ้นปันผลเล็กน้อย เพื่อดันผลตอบแทนให้ใกล้ 5%/ปี

ตัวอย่างพอร์ตพอร์ตแบบ “อนุรักษ์นิยม” (เสี่ยงต่ำ-กลาง)เพื่อเป้าหมาย 5% ต่อปี

  • พันธบัตรรัฐบาล / ตราสารหนี้คุณภาพสูง 60% ผลตอบแทนประมาณ 2–3% ต่อปี
  • กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ / ตราสารหนี้เอกชนเกรดดี 20% ผลตอบแทนประมาณ 3–4% ต่อปี
  • กองทุนผสม/กองทุนหุ้นปันผลใหญ่ (Defensive Equity) 20% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่คาดประมาณ 5% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้คือการประเมินไม่ได้การการันตีผลตอบแทน และการลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนอาจไม่ได้ตามที่คาด และอาจขาดทุนได้ หรืออีกทางเลือกคือ “ออมผ่านประกันแบบสะสมทรัพย์” หรือ เงินออมการศึกษา ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละแบบประกัน

ถ้าสรุปว่า “ไม่สามารถบริหารเงินได้เพียงพอ” มีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจหรือไม่ และ จะบริหารจัดการเงินอย่างไร

อีกทางเลือก คือ โครงการภาคภาษาอังกฤษโรงเรียนเอกชนที่ค่าเล่าเรียนถูกกว่า 10 เท่า สมมติค่าเล่าเรียนประมาณ 50,000 บาท/ปี อัตราการเพิ่มค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 2%/ปี

ปีที่

ค่าเล่าเรียน

1

100,000

2

102,000

3

104,040

4

106,121

5

108,243

6

110,408

รวม

630,812

ถ้าเราออมที่ผลตอบแทน 5%/ปีเหมือนเดิม เราต้องออมประมาณปีละ 168,800 บาท (ฝากปลายปี) เป็นเวลา 3 ปี เท่ากับว่าเราต้องกันเงินออมสำหรับการศึกษาลูกเดือนละ 14,066 บาท/เดือน เทียบกับส่งลูกเรียนอินเตอร์ภาระน้อยกว่า 5 เท่า ทำให้เราไม่ต้องเครียดกับการหาเงินมากนัก และหากบริหารเงินได้ดี เรายังมีเงินเหลือสำหรับเป้าหมายทางการเงินอื่นๆที่สำคัญและจำเป็น เช่น ออมเพื่อเกษียณ ออมเพื่อทำธุรกิจ ออมเพื่อซื้อบ้าน ออมเพื่อสำรองค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม การแนะนำในบทความนี้เป็นเพียงการแนะนำบนข้อมูลที่มีอยู่ หากต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง ครบถ้วน แนะนำปรึกษานักวางแผนการเงิน CFP ที่มีความรู้ ประสบการณ์ และเครื่องมือในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำดีกว่าครับ

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th