logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ภาษีและมรดก

เรื่องภาษี ดาราไม่ควรมองข้าม

สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP®

เผยแพร่วันที่ 15 ธ.ค. 2567

 

อาชีพดารา เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีรายได้สูง  ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการเป็นนักร้อง นักแสดง หรือพรีเซนเตอร์ แนะนำสินค้าต่าง ๆ  ดังนั้น เมื่อดารามีรายได้มากมาย อาจสงสัยว่าเสียภาษีมากแค่ไหน

 

ดาราเสียภาษีอย่างไร

เมื่อดาราจะทำงานไม่ว่าจะเล่นหนัง ร้องเพลง หรือ โชว์ตัว ก็ต้องเซ็นสัญญาจ้างกับผู้ว่าจ้างก่อน เมื่อทำงานตามสัญญาเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยได้รับค่าจ้าง หากมองเพียงเท่านี้ เงินได้ของดารา นักร้อง นักแสดง ก็น่าจะถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือ ตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ คือ ต้องทำงานเสร็จถึงได้เงิน โดยงานที่ทำต้องเป็นงานที่ใช้ความสามารถของตัวเองเป็นหลักในการหารายได้

ตัวอย่างของเงินได้ลักษณะดังกล่าว เช่น ค่าจ้างที่จ่ายให้วิทยากรเมื่อบรรยายเสร็จตามสัญญาจ้าง ค่าคอมมิชชั่นที่ตัวแทนประกันชีวิตได้รับเมื่อขายประกันได้ ฯลฯ เงินได้ตามมาตรา 40(2) นี้ หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอาชีพดารา นักร้อง นักแสดง เป็นอาชีพที่มีค่าใช้จ่ายในการหารายได้สูง ไม่ว่าจะเป็นค่าเสื้อผ้า ค่าแต่งหน้า ค่าผู้จัดการส่วนตัว  มีค่าใช้จ่ายเยอะ สรรพากรจึงพิจารณาว่าเป็นเงินได้ในรูปของกิจการที่ทำ ซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) ซึ่งหักค่าใช้จ่ายได้ 2 รูปแบบ

  1. หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร หรือ
  2. หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ดังนี้
    • สำหรับเงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท ร้อยละ 60
    • สำหรับเงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท ร้อยละ 40 การหักค่าใช้จ่ายตาม (ก) และ (ข) รวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท

ดังนั้น ผู้ที่หารายได้ด้วยการทำงาน เช่น ร้องเพลง ก็เลือกระบุเงินได้ตนเองเป็น 40(8) เพราะหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า เช่น มีเงินได้ทั้งปี 1 ล้านบาท ถ้าเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท เท่ากับหักได้ 100,000 บาทเท่านั้น เหลือเงินได้ที่ต้องไปคำนวณภาษีต่อ 900,000 บาท แต่ถ้าเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) หักค่าใช้จ่ายได้ 600,000 บาท เหลือเงินได้ที่ต้องไปคำนวณภาษีต่อเพียง 400,000 บาท

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและป้องกันการอ้างเงินได้ผิดประเภท สรรพากรจึงออก คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 102/2544 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ของนักแสดงสาธารณะ ผู้จัดให้มีการแสดงของนักแสดงสาธารณะ และคู่สัญญาที่จัดหานักแสดงสาธารณะมาแสดง

ข้อ 1 คำว่า “นักแสดงสาธารณะ” หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ หรือแข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์คโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นต้น

นักแสดงสาธารณะตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการในสถานบันเทิงใด ๆ ผู้บรรยายหรือนักพากย์ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาธารณะ ผู้กำกับการแสดง ผู้จัดการทีมกีฬา ผู้ฝึกสอน นักกีฬาหรือบุคคลผู้กระทำการในลักษณะทำนองเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการให้นิยามที่ชัดเจนมากขนาดนี้ ก็เกิดปัญหาจนขึ้นโรงขึ้นศาล

 

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2548 ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาในคดีที่ น.ส.ญาสุมินทร์ สีดาตระกูล หรือ “จ๋า-ญาสุมินทร์” พิธีกรและนักแสดง ชื่อดัง เป็นโจทก์ฟ้องกรมสรรพากร โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมิน ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หลังจากที่ยื่นฟ้องไว้เมื่อปี 2547 ว่า โจทก์มีอาชีพเป็นนักแสดงอิสระ มีเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ประเภท นักแสดงสาธารณะ มีรายได้ต่อปี เป็นเงิน 1,680,358 บาท (หักค่าลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกินปีละ 6 แสนบาท) และ ได้ชำระภาษีไป เป็นเงิน 103,414 บาท

ต่อมากรมสรรพกร ให้ชำระภาษีเพิ่มอีก 153,122 บาท โดยอ้างเหตุผลว่า “จ๋า-ญาสุมินทร์” ไม่ได้เป็นนักแสดงแต่เป็นพิธีกร ถือเป็นเงินได้ ประเภทมาตรา 40 (2) หรือประเภทค่าจ้างแรงงาน เพื่อการงานที่ทำให้ (หักค่าลดหย่อนภาษีได้ ปีละไม่เกิน 6 หมื่นบาท) ได้นำสืบว่า “จ๋า-ญาสุมินทร์”เมื่อปี 2540-2541 ได้รับงานเป็นพิธีกร ผู้ดำเนินรายการตามสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ คือ รายการ “มาส-เตอร์คีย์” รายการ “คอนเสิร์ตตะลุยทั่วไทย” และรายการ “พากินพาเที่ยว”

การทำงานในลักษณะนี้ ต้องอาศัยความเป็นนักแสดง รูปร่างหน้าตาเป็นส่วนสำคัญ ทั้งยังต้องบำรุงผิวพรรณ รวมถึงต้องเตรียมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ทำผมแต่งหน้า เสียค่าใช้จ่ายรวมกันสูงมาก อีกทั้งยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะการพูด ไหวพริบ ความสามารถ ในการแสดงและต้องมีอารมณ์ขัน เพื่อสร้างความสนุกสนาน ถือว่าเป็นนักแสดงสาธารณะ ตามมาตรา 40 (8)

ขณะที่กรมสรรพากรที่ตกเป็นจำเลยต่อสู้ว่า “จ๋า-ญาสุมินทร์” ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้อง เพราะคำนวณเงินได้พึงประเมินมาผิดประเภท จึงต้องจ่ายภาษีมากขึ้น เนื่องจาก “งานพิธีกรรายการ” คือ พิธีกร ทั่วไป ตามหลักเกณฑ์คำสั่งสรรพากรที่ ป. 102/44 ข้อ 1 ดังนั้น จะนำเงินได้จากงานพิธีกรรายการโทรทัศน์ มาหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีหรือหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 40 (8) ไม่ได้

ศาลพิพากษาว่า คู่ความยอมรับว่า “จ๋า-ญาสุมินทร์” เป็นนักแสดง มีรายได้จากงานแสดงเป็นหลัก มีประเด็นว่าจ่ายภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่ ในทางพิจารณาพบว่า รายการมาสเตอร์คีย์ ช่วงแรก ผู้ดำเนินรายการ จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เน้นความสนุกสนาน ช่วงที่สอง เป็นละครเพื่อนำเข้าไปสู่คำถาม ช่วงที่สาม เป็นโบนัสนำผู้ชนะนำกุญแจไปไขตู้เพื่อรับทองคำ ส่วนรายการอื่น “จ๋า-ญาสุมินทร์” ต้องร้องเพลง การทำงานของ “จ๋า-ญาสุมินทร์” จึงไม่ใช่งานพิธีกร แต่เป็นงานเพื่อความบันเทิง รายได้ของโจทก์จึงถือว่า เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ที่นำมาหักค่าใช้จ่ายตามกฎหมายได้

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ เมื่อขึ้นสู่ศาลฎีกา ได้มีการพิจารณารายละเอียดว่า กิจกรรมที่คุณจ๋า-ญาสุมินทร์ทำนั้นถึงระดับเทียบเท่าบทบาทการแสดงของนักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใดๆหรือไม่ เมื่อพิจารณาภาพรวมของรายการพบว่า สัดส่วนของกิจกรรมนักแสดงมีน้อยเมื่อเทียบกับกิจกรรมาของการเป็นพิธีกร และบทบาทหลักของคุณจ๋า-ญาสุมินทร์ก็ไม่ต่างจากพิธีกรทั่วไป ศาลฎีกาจึงพิจารณาตัดสิน “ยกฟ้อง” สรรพากรชนะครับ

สรุป การประเมินว่าเงินได้ของเราจะเป็นเงินได้ประเภทไหนขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำเพื่อก่อให้เกิดเงินได้นั้น

ในทางกลับกัน แม้จะเป็นนักร้อง นักแสดงที่มีชื่อเสียง หากกิจกรรมหารายได้ที่ทำไม่ใช่การร้อง การแสดง ก็ไม่สามารถยื่นเงินได้เราเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) ในฐานะนักร้อง นักแสดงได้

 

ถูกหักภาษี ณ จ่ายไปแล้ว ใช่ว่าจบ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดาราหลายคนมีปัญหาภาษีต้องถูกสรรพากรปรับและเสียภาษีเพิ่ม ก็คือ ความเข้าใจผิดที่ว่า “ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว ถือว่า เสียภาษีถูกต้อง ครบถ้วน” ไม่ต้องไปเสียภาษีเงินได้ตอนยื่นแบบภาษีอีก ความจริงแล้ว ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้าเพียงบางส่วนที่สรรพากรกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับทุกครั้งที่จ่าย เพื่อแบ่งเบาภาระภาษีที่ต้องเสียตอนปลายปีเท่านั้น แปลว่า เมื่อถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว ยังต้องนำเงินได้นั้นไปรวมคำนวณภาษีตอนปลายปีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเสียภาษีในส่วนที่ยังเสียไม่ครบ

 

ดาราควรวางแผนภาษีอย่างไร

เนื่องจากอาชีพดารานักร้องและนักแสดงมีรายได้ที่ไม่แน่นอน นอกจากการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนการเงินแล้ว การวางแผนภาษี เพื่อช่วยลดภาระภาษีอย่างถูกกฎหมายก็มีความสำคัญ

  1. การตั้งบริษัทเพื่อรับรายได้ เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานได้
  2. เลือกการหักค่าใช้จ่ายที่ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะดารานักแสดงสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานได้ เช่น ค่าเสื้อผ้า การแต่งหน้า ค่าการเดินทาง หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงานได้ตามค่าใช้จ่ายจริง หรือ เลือกหักแบบเหมาจ่ายสูงสุด 600,000 บาทดังที่กล่าวแล้ว
    • ถ้าหักค่าใช้จ่ายตามจริงหักได้มากกว่าแบบเหมา ก็ควรเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง
    • ถ้าหักค่าใช้จ่ายตามจริงหักได้น้อยกว่าแบบเหมา ก็ควรเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
  3. การลงทุนในกองทุนหรือสินทรัพย์ที่ลดหย่อนภาษีได้ เช่น RMF, SSF, TESG, ประกันชีวิต, ประกันบำนาญ ฯลฯนอกจากจะช่วยประหยัดภาษี ยังเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตอีกด้วย
  4. วางแผนจัดสรรเงินได้ให้เหมาะกับปีภาษี เลือกรับรู้รายได้ในปีที่เงินได้สุทธิอยู่ในระดับต่ำ เพื่อจะได้เสียภาษีน้อยลง หรือ การกระจายรายได้ในช่วงหลายปี แทนที่จะรับรายได้ในปีเดียว
  5. การใช้สิทธิทางภาษีที่รัฐให้การสนับสนุน อย่างปีนี้ ก็เช่น เที่ยวเมืองรอง โครงการ “Easy E-Receipt” เป็นต้น

การวางแผนภาษีไม่ใช่เพียงเรื่องของการยื่นแบบแสดงรายการเท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ดารา นักแสดงสามารถรักษาความมั่งคั่งและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ด้วยลักษณะรายได้ที่มีความซับซ้อนและไม่แน่นอน การวางแผนภาษีที่รอบคอบจึงเป็นเกราะป้องกันทางการเงินที่แข็งแกร่ง ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษีตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพ เพราะจะสามารถบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพอย่างยั่งยืน

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th