logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ภาษีและมรดก

รู้สิทธิลดหย่อน เพื่อลดภาษี

 

ช่วงปลายปี นอกจากจะเป็นช่วงของเทศกาลแห่งความสุข ก็ยังเป็นเทศกาลทางการเงินด้วย ก็คือ เทศกาลของการวางแผนภาษี เพราะสรรพากรจะคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินได้สุทธิที่เกิดในแต่ละปีภาษี ดังนั้น หากต้องการประหยัดภาษี ต้องทำให้เสร็จภายในสิ้นปี

การเก็บภาษีเงินได้ของสรรพากรจะเก็บจากเงินได้สุทธิ (ตามสมการข้างล่าง)

”เงินได้ (ต่อปี) - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย

โดยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า คือ ยิ่งมีเงินได้สุทธิมาก ก็ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง ทำให้ต้องเสียภาษีมาก ดังนั้น หากต้องการเสียภาษีเงินได้น้อย ๆ  ก็ต้องทำให้เงินได้สุทธิเหลือน้อย ๆ และเครื่องมือหนึ่งในการทำให้เงินได้สุทธิเหลือน้อย ๆ คือ “ค่าลดหย่อน”

ค่าลดหย่อน คือ สิทธิประโยชน์ที่สรรพากรให้เพื่อช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถลดจำนวนเงินได้สุทธิที่ต้องนำไปคำนวณภาษี ทำให้ภาระภาษีที่ต้องจ่ายลดลง โดยค่าลดหย่อน ตีความได้ ดังนี้

  • “สิทธิประโยชน์ที่สรรพากรให้” แปลว่า เป็นสิทธิที่มีประโยชน์ ไม่เป็นโทษ สรรพากรให้กับทุกคน ไม่สำคัญว่าจะอายุเท่าไร เพศอะไร อาชีพอะไร ให้ฟรี ไม่ต้องซื้อ ส่วนใครจะใช้หรือไม่ใช้ ก็แล้วแต่คนนั้น
  • “เพื่อช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถลดจำนวนเงินได้สุทธิที่ต้องนำไปคำนวณภาษี” หลายคนมักเข้าใจผิดในเรื่องนี้ คิดว่า ค่าลดหย่อนสามารถเอาไปหักออกจากภาษีเงินได้ที่ต้องเสียได้ตรงๆ แต่จริงๆแล้ว ค่าลดหย่อนจะช่วยให้เงินได้สุทธิลดลง (ตามสมการข้างบน) เมื่อเงินได้สุทธิลดลง ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียก็ลดลงตาม

“ค่าลดหย่อน” จึงเป็น “ของฟรี และ ดี ที่มีในโลก” ที่ช่วยบรรเทาภาระภาษีที่ต้องจ่ายได้ จึงควรศึกษาและใช้ประโยชน์จาก “ค่าลดหย่อน” ให้เต็มที่ และถูกกฎหมาย

 

ทำไมสรรพากรถึงต้องให้ “ค่าลดหย่อน”

เนื่องจากสรรพากรเป็นหน่วยงานภาครัฐจึงมีภาระกิจในการสนับสนุนการเจริญเติบโตและความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสังคม ภาระกิจนี้จึงเป็นเป้าหมายหลักที่สรรพากรให้มีค่าลดหย่อน ซึ่งสามารถระบุเหตุผลของการให้ “ค่าลดหย่อน” ดังนี้

  1. ส่งเสริมการออมและการลงทุน เช่น กองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เบี้ยประกันชีวิต, เบี้ยประกันบำนาญ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนวางแผนการเงินในระยะยาว มีการออมและการลงทุน ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้เราแล้ว ยังช่วยลดภาระของรัฐบาลในการดูแลสวัสดิการในอนาคตอีกด้วย
  2. กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย, โครงการ “Easy E-Receipt”, มาตรการเที่ยวเมืองรอง ล้วนมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการหมุนเวียนในเศรษฐกิจ
  3. ส่งเสริมการช่วยเหลือสังคม เช่น ค่าลดหย่อนจากการบริจาคเพื่อจูงใจให้ประชาชนช่วยเหลือสังคมด้วยการบริจาคเงินให้กับโรงเรียน โรงพยาบาลรัฐบาล มูลนิธิ วัด
  4. บรรเทาภาระครอบครัว เช่น ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนพ่อแม่ เป็นต้น เพื่อลดปัญหาทางการเงินของครอบครัว เมื่อเรามีเงินเหลือมากขึ้น ก็จะจัดการชีวิตทางการเงินได้ดีขึ้น ครอบครัวมีความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้น
  5. สร้างความเป็นธรรมทางภาษี ผู้ที่มีภาระทางการเงินมาก ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีบุตรหรือคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ก็จะได้สิทธิค่าลดหย่อนเพื่อลดภาระภาษีได้มาก ทำให้การจัดเก็บภาษีมีความสมดุลและสอดคล้องกับภาระชีวิตจริง

 

“ค่าลดหย่อน” มีกี่ประเภท

หมวดค่าลดหย่อนพื้นฐาน (ส่วนตัวและครอบครัว)

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ 60,000 บาท ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
  • ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท/บุตร 1 คน แต่หากเป็นบุตรคนที่สองขึ้นไปและเกิดตั้งแต่ปี 2561 ขึ้นไป จะหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท/บุตร 1 คน บุตรต้องไม่มีเงินได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไปในปีภาษีนั้น
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีลูกกตัญญู” ให้หักลดหย่อนพ่อแม่ของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาทและหักลดหย่อนได้สำหรับพ่อแม่ของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้อีกคนละ 30,000 บาท เงื่อนไขพ่อแม่ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และพ่อแม่ต้องมีเงินได้ในปีที่ใช้สิทธิ ไม่เกิน 30,000 บาท
  • ค่าอุปการะคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ ลดหย่อนได้ 60,000 บาท/คน เงื่อนไขบุคคลทุพพลภาพ หรือผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้น

หมวดค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน

  • ประกันสังคม อัตราเงินสมทบประกันสังคม ม.33 อยู่ที่ 5% ของเงินเดือน (เพดานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท) แต่ถ้าเป็นผู้ประกันตน ม.39 อัตราเงินสมทบ 432 บาท/เดือน หรือเท่ากับ 5,184 บาท/ปี
  • เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนได้ตามจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิตได้ตามจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เงื่อนไข ประกันชีวิตที่จะลดหย่อนได้ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป และทำประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น
  • เบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท/ปี เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท/ปี
  • เบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่ ลดหย่อนได้ตามจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งพ่อแม่ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี
  • เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท แต่เมื่อรวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณอื่นแล้ว จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท

หมวดค่าลดหย่อนกลุ่มการออม และการลงทุน

  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่เมื่อรวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณอื่นแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ใช้ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ แต่เมื่อรวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณอื่นแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท แต่เมื่อรวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณอื่นแล้ว ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเงินเพื่อเกษียณอื่นแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และสูงสุดได้ไม่เกิน 100,000 บาท (เฉพาะปี 2567-2569 ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท)

หมวดค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย และต้องเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากในประเทศ ลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
  • โครงการ “Easy E-Receipt” ที่ให้ประชาชนนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายในรูปแบบ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ที่ได้ในช่วง 1 มกราคม 2567 - 15 กุมภาพันธ์ 2567 มาลดหย่อนได้ตามจ่ายจริง สูงสุด 50,000 บาท
  • โครงการเที่ยวเมืองรอง ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท

หมวดค่าลดหย่อนกลุ่มบริจาค

  • เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา การกีฬา ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของยอดเงินบริจาค โดยรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอย่างอื่น
  • เงินบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของยอดเงินบริจาค โดยรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอย่างอื่นแล้ว
  • เงินบริจาคทั่วไป เช่น บริจาคเพื่อสาธารณกุศลให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สถานสงเคราะห์ เป็นต้น ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนอย่างอื่น และค่าลดหย่อนแบบจ่าย 1 ได้ 2 แล้ว
  • เงินบริจาคให้พรรคการเมือง ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

 

Benjamin Franklin กล่าวไว้ว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ยกเว้น ความตาย และ ภาษี” หมายถึง ทุกไม่สามารถหนีความตายและภาษีได้ แต่ด้วย “ค่าลดหย่อน” สามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th