บทความ: เกษียณ
ชีวิตสุขไม่สะดุด ต้องวางแผนการเงินหลังเกษียณให้สุดปัง
โดย ธชธร สมใจวงษ์ นักวางแผนการเงิน CFP®
เผยแพร่วันที่ 30 ต.ค. 2567
หากให้นึกถึงภาพการใช้ชีวิตหลังการเกษียณ เห็นภาพเป็นอย่างไร เมื่อจินตนาการรายละเอียดในด้านต่าง ๆ ทั้งสภาพความเป็นอยู่ สังคมรอบข้าง การทำงานหรือทำธุรกิจ ทำงานต่อ ลดการทำงานลง ทำงานอดิเรก เดินทางท่องเที่ยว สุขภาพร่างกายและจิตใจ ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะต่าง ๆ ที่ใช้ แม้ว่าคำตอบจะแตกต่างกันไป แต่หลายสิ่งจะมีเงินเป็นส่วนประกอบ
การวางแผนการเงินหลังเกษียณ สำคัญไม่แพ้วางแผนการเงินก่อนเกษียณ
การวางแผนการเงินก่อนเกษียณเน้นเรื่องของการเก็บออม สะสมความมั่งคั่งเพื่อให้มีเงินทุนเป็นก้อนสำหรับการเกษียณ ในขณะที่หลังเกษียณสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คือ การวางแผนการใช้จ่าย เนื่องจากช่วงหลังเกษียณโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีรายได้จากการทำงานหลักที่ลดน้อยลง (หรือไม่มีเลย) และต้องเป็นการทยอยนำเงินทุนเกษียณออกมาใช้เป็นหลัก จึงมีความจำเป็นต้องหาจุดสมดุลให้ใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขตามรูปแบบที่ตัวเองต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่เกินฐานะทางการเงินจนอาจทำให้เกิดภาระตามมา ดังนั้น การวางแผนการเงินหลังเกษียณจึงมีความสำคัญมาก โดยมีเทคนิคเบื้องต้น ดังนี้
- คำนวณค่าใช้จ่ายต่อเดือน เริ่มจากการสำรวจภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทั้งรายจ่ายแบบคงที่ คือ ค่าใช้จ่ายที่มีภาระผูกพันในการจ่ายชำระ เช่น ภาระหนี้สิน ค่าเบี้ยประกัน และค่าใช้จ่ายแบบผันแปร เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าปรับปรุงที่อยู่อาศัย ค่าอุปการะเลี้ยงดู เงินทำบุญ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อให้ทราบภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่สะท้อนความเป็นจริงในการใช้ชีวิตได้มากที่สุด โดยสามารถเริ่มพิจารณารายจ่ายบางตัวที่สามารถปรับลดได้ และเริ่มลงมือควบคุมและจัดการรายจ่ายเหล่านั้น
- ประเมินแหล่งรายได้ต่าง ๆ เช่น รายได้จากค่าเช่า เบี้ยชราภาพ เงินบำนาญ ดอกเบี้ยจากเงินออม รายได้จากการลงทุน รายได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รายได้จากสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ ภาระค่าใช้จ่ายในข้อแรก ประเมินความสอดคล้องของปริมาณเงินที่เตรียมไว้เพื่อให้ทราบกระแสเงินสดสุทธิที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นบวกหรือลบ ซึ่งจะทำให้วางแผนเตรียมการรับมือได้อย่างเหมาะสม
- จัดทำรายการสินทรัพย์และหนี้สิน ตรวจสอบรายการสินทรัพย์เพื่อบริหารจัดการ รวมถึงเพื่อทราบต้นทุนในการจัดการที่เกี่ยวข้อง เช่น อาจพิจารณาขายอสังหาริมทรัพย์ สิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่ เพื่อลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้อง และนำเงินสดที่ได้มาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต และลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น หรืออาจเป็นการโอนสินทรัพย์เหล่านั้นให้ทายาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนจัดการภาษีมรดก สำหรับรายการหนี้สิน ก็วางแผนจัดการผ่อนชำระตามลำดับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- แบ่งเงินออกเป็นส่วน ๆ และบริหารจัดการอย่างอิสระแยกจากกัน โดยใช้กลยุทธ์ Bucket Strategy โดยแบ่งเงินออกเป็นส่วน ๆ (แต่ละ Bucket) และบริหารจัดการแต่ละส่วนแตกต่างกันตามระยะเวลาที่จะต้องใช้เงินแต่ละก้อนนั้น
- Bucket ที่ 1 เก็บในรูปแบบเงินสด หรือทรัพย์สินความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงินที่มีสภาพคล่องใกล้เคียงเงินสดโดยเก็บสำรองไว้สำหรับถอนออกมาใช้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นจำนวนเงินที่พอใช้สำหรับระยะเวลา 2 - 3 ปีแรก เช่น หากมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท และสำรองไว้ใช้สำหรับ 2 ปี ก็แบ่งเงินไว้ส่วนนี้ ทั้งหมด 720,000 บาท และทยอยถอนเงินออกมาใช้จาก Bucket ที่ 1 ในแต่ละเดือนตามที่วางแผนไว้
- Bucket ที่ 2 เก็บเงินส่วนที่เหลือ สำหรับการใช้ชีวิตในปีที่ 3 - 7 โดยเก็บในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ที่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น และสร้างกระแสเงินสดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นปันผล กองทุนผสมที่มีนโยบายการสร้างกระแสเงินสด และเมื่อได้รับผลตอบแทนจากเงินส่วนนี้ ก็นำไปเติมเก็บไว้ใน Bucket ที่ 1 สำหรับการใช้จ่าย
- Bucket ที่ 3 สำรองไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพื่อการใช้จ่ายในปีที่ 7 เป็นต้นไป สามารถเก็บในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น คาดหวังอัตราผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น เช่น หุ้นสามัญของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี หรือกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก โดยต้องยอมรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างทางได้ โดยเงินส่วนนี้ มุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว เน้นให้มีการเติบโตเพื่อรักษาคุณภาพการใช้ชีวิต และสำหรับเป็นรายการใช้จ่ายที่มีมูลค่าสูง เช่น ค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยโรคร้ายแรง ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพต่าง ๆ
ในกรณีที่มีรายได้พิเศษ หรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุนจากเงินใน Bucket ที่ 2 และ 3 ก็สามารถนำเงินเหล่านั้นมาเติม Bucket ที่ 1 ให้มีจำนวนเงินที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายอยู่ตลอด โดยหากเกิดความผันผวนในการลงทุน สินทรัพย์ต่าง ๆ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และทำให้มูลค่าของสินทรัพย์การลงทุนใน Bucket ที่ 2 และ ที่ 3 ปรับตัวลดลง จะยังสามารถใช้เงินที่อยู่ใน Bucket ที่ 1 สำหรับการใช้จ่ายประจำวัน โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ใน Bucket อื่นออกมาซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการรับรู้การขาดทุน และสามารถถือครองสินทรัพย์ต่างๆ รอให้มูลค่าสินทรัพย์กลับมา หรือสูงขึ้นกว่าเดิมเมื่อวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือความผันผวนเหล่านั้นผ่านพ้นไป
- ติดตามดูแลสินทรัพย์การลงทุน สภาพเศรษฐกิจ และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเงินก้อนที่เตรียมไว้สำหรับการเกษียณ รวมถึงหมั่นทบทวนและปรับสัดส่วนเงินลงทุนใน Bucket ต่าง ๆ ให้เหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยแสวงหาโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ช่วยยืดระยะเวลาการใช้เงินได้นานขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ลงทุนอย่างระมัดระวังในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้ ความเข้าใจ ให้ความสำคัญกับการรักษาเงินทุนสำหรับการเกษียณ และอย่าให้ความโลภในการได้ผลตอบแทนสูง ๆ หลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเงินก้อนที่เตรียมไว้สำหรับการเกษียณ
การวางแผนการเงินหลังเกษียณล่วงหน้าที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เรามีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต และรักษามาตรฐานการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในรูปแบบที่ต้องการ