บทความ: บริหารจัดการเงิน
5 ทักษะสำคัญ ทำให้การวางแผนการเงินได้ผลจริง
เคยรู้สึกหรือไม่ว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องยุ่งยากและน่ากลัว แต่การมีทักษะบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนภารกิจอันแสนยากนี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นเครื่องมือช่วยให้สร้างแผนที่นำทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจัดการตนเอง การคิดวิเคราะห์ หรือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจนขึ้น และสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
สำหรับ 5 ทักษะเบื้องต้น ทุกคนสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ และเมื่อมีทักษะเหล่านี้แล้ว จะพบว่าการวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่กลับเป็นกุญแจในการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตัวเองและคนที่คุณรัก
ชอบเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อทางการเงิน
หากเรื่องการเงินเป็นเหมือนเกมที่ซับซ้อนและน่าตื่นเต้น การชอบอ่านและเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อทางการเงินก็เหมือนกับการศึกษากฎกติกาและกลยุทธ์ของเกมนั้น ยิ่งรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นเท่านั้น
การเป็นผู้ที่ชอบสงสัยและไฝ่รู้ในเรื่องการเงินก็จะเริ่มเห็นโอกาสและเข้าใจความเสี่ยง เช่น ค้นพบวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวคุณ หรือเข้าใจผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เรื่องการเงินไม่ได้หมายความว่าต้องอ่านตำราเล่มหนา ๆ ทุกวัน แต่สามารถเป็นเรื่องสนุกได้ ด้วยการลองหาพอดแคสต์ที่พูดเรื่องการเงินในแบบที่เข้าใจง่าย ติดตามบล็อกของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ บางครั้งอาจจะสนุกกับการดูวิดีโอสอนเรื่องการเงินบน YouTube หรือเล่นเกมจำลองการลงทุน
ที่สำคัญ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ปรับตัวได้ดีในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการเงินโลก การติดตามข่าวสารและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้ไม่ตกยุค นอกจากนี้ การชอบเรียนรู้เรื่องการเงินยังช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจทางการเงิน จะรู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันเมื่อต้องเผชิญกับคำแนะนำทางการเงินที่อาจไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เรื่องการเงินไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น ทุกครั้งที่เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ หมายความว่า กำลังลงทุนในตัวเอง และนั่นคือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
มีเวลาทบทวนสถานการณ์ทางการเงินปัจจุบันของตัวเอง
หากชีวิตทางการเงินเป็นเหมือนการเดินทางไกล การมีเวลาทบทวนสถานการณ์ทางการเงินปัจจุบันก็เหมือนกับการหยุดพักเพื่อดูแผนที่และตรวจสอบเข็มทิศ เป็นโอกาสที่จะได้มองย้อนกลับไปว่าเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้ว และยังเหลือระยะทางอีกเท่าไรกว่าจะถึงจุดหมาย
การทบทวนสถานการณ์ทางการเงิน เป็นเหมือนการนั่งคุยกับตัวเอง และอาจจะแปลกใจที่พบว่าทำได้ดีกว่าที่คิด หรืออาจจะค้นพบโอกาสในการปรับปรุงที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน เช่น เปิดแอปพลิเคชันธนาคาร ดูยอดเงินในบัญชี ตรวจสอบรายจ่ายในบัตรเครดิต นึกถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีว่ายังอยู่บนเส้นทางหรือไม่ หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม การทบทวนไม่ใช่การตัดสินตัวเอง แต่เป็นการเรียนรู้และปรับตัว บางครั้งอาจพบว่ากำลังใช้จ่ายเกินตัว หรืออาจจะดีใจที่เห็นว่าเงินออมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ที่สำคัญ การทบทวนสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับแผนได้ทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป และแผนการเงินควรยืดหยุ่นพอที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
รู้สึกสบายใจในการตัดสินใจทางการเงิน
หากการตัดสินใจทางการเงินเป็นเหมือนการเลือกเส้นทางในการเดินทาง การรู้สึกสบายใจในการตัดสินใจทางการเงินก็เหมือนกับการมีแผนที่ที่ชัดเจน และความมั่นใจในทักษะการเดินทางของตัวเอง
เมื่อรู้สึกสบายใจในการตัดสินใจทางการเงิน จะไม่รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เลือก หรือตัดสินใจด้วยความกลัวหรือความกังวล แต่จะรู้สึกเหมือนกำลังเลือกโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เช่น เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม จะรู้สึกเกี่ยวกับโอกาสมากกว่ากลัวความเสี่ยง
ตัวอย่าง นาย ก. ได้ศึกษาข้อมูลกองทุนรวมหุ้น ทั้งนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานย้อนหลัง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จึงเข้าใจว่ากองทุนนี้มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จึงได้ประเมินสถานะทางการเงินและรู้ว่าเงินที่จะลงทุน สามารถลงทุนระยะยาวได้
นาย ก. เข้าใจว่าการลงทุนในกองทุนรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน จึงได้ตั้งเป้าหมายและกำหนดจุดที่จะทบทวนการลงทุนนี้ไว้แล้ว เช่น ประเมินผลทุก 6 เดือน และรู้ว่าหากผลการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็จะปรับเปลี่ยนแผน อาจขายทั้งหมดหรือลดสัดส่วนการลงทุน
ด้วยเหตุผลดังนั้น นาย ก. รู้สึกสบายใจที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมนี้ เขาไม่ได้รู้สึกกังวลหรือลังเลมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ประมาทหรือคิดว่าจะได้กำไรแน่นอน ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ความสบายใจนี้มาจากความรู้และความเข้าใจ เมื่อเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกทำแบบนี้ และผลที่อาจจะตามมาคืออะไร ก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเสมอไป แต่พร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัว ที่สำคัญ ความสบายใจจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น จะไม่ลังเลจนพลาดโอกาสดี ๆ หรือตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
ไม่ต้องการคนคอยประคับประคองทางการเงิน
หากการจัดการการเงินเป็นเหมือนการขับรถยนต์ การไม่ต้องการคนคอยประคับประคองทางการเงินก็เหมือนกับการที่ขับรถได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมานั่งข้าง ๆ คอยบอกว่าต้องเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือเบรก หมายความว่าเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในการตัดสินใจทางการเงินของตัวเอง โดยไม่ได้รอให้ผู้อื่นมาบอกว่าควรใช้เงินอย่างไร ควรออมเท่าไร ควรลงทุนในอะไร แต่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานทางการเงิน เข้าใจการทำงบประมาณ การออม การลงทุน การจัดการหนี้ รู้จักแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม การไม่ต้องการคนคอยประคับประคองไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือเลย เมื่อเจอสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือเกินความสามารถ ก็พร้อมที่จะขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ
เข้าใจความสำคัญของการวางแผนเพื่อเกษียณ
การเข้าใจความสำคัญของการวางแผนเพื่อเกษียณ หมายถึง การตระหนักว่าวันหนึ่งจะต้องหยุดทำงานประจำ แต่ชีวิตและค่าใช้จ่ายยังคงดำเนินต่อไป มีเวลามากขึ้น แต่รายได้อาจจะลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการเตรียมตัวล่วงหน้าจึงสำคัญมาก
ผู้ที่วางแผนเพื่อเกษียณจะไม่มองว่าการออมและลงทุนเป็นภาระ แต่จะมองว่าเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองในอนาคต ด้วยการจะเริ่มลงมือทำแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นในระยะยาว นอกจากนี้ เข้าใจว่าการวางแผนเพื่อเกษียณไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวางแผนด้านสุขภาพ ที่อยู่อาศัย และกิจกรรมที่จะทำหลังเกษียณด้วย จึงให้ความสำคัญเรื่องค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มขึ้นด้วย
ตัวอย่าง
นาย ข. เป็นพนักงานบริษัทเอกชน เริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุ 25 ปี เพราะเข้าใจพลังของดอกเบี้ยทบต้นและประโยชน์ของการเริ่มวางแผนเพื่อเกษียณแต่เนิ่น ๆ โดยทุกเดือนจะแบ่งเงิน 20% ของรายได้สำหรับการออมเพื่อเกษียณ ผ่านการเก็บในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุน SSF และ RMF และเมื่ออายุมากขึ้น หน้าที่การงานมั่นคง เงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็เพิ่มเงินลงทุนตามลำดับ พร้อมกับลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งหุ้น กองทุนรวม พันธบัตร ทองคำ เพื่อกระจายความเสี่ยง
นาย ข. ได้คำนวณจำนวนเงินที่คาดว่าจะต้องใช้หลังเกษียณ โดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มขึ้นหลังเกษียณ เช่น ค่ารักษาพยาบาล การท่องเที่ยว พร้อมกับทบทวนแผนการเกษียณทุกปี และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ชีวิตที่เปลี่ยนไป อีกทั้ง ยังพัฒนาทักษะด้านที่ตัวเองถนัด คือ การถ่ายภาพ โดยหวังว่าอาจเป็นแหล่งรายได้เสริมหลังเกษียณ
จากตัวอย่าง สะท้อนว่า นาย ข. เข้าใจความสำคัญของการวางแผนเพื่อเกษียณ ทำให้มีความหวังและความมั่นใจในอนาคต รู้สึกว่าชีวิตหลังเกษียณไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นช่วงเวลาแห่งอิสรภาพที่ได้วางแผนและเตรียมพร้อมมาอย่างดี
การเริ่มต้นพัฒนาทักษะทางการเงินอาจรู้สึกเหมือนกำลังปีนเขาสูงชัน แต่ทุกก้าวที่ก้าวไปนั้นมีค่ามหาศาล ที่สำคัญทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ ทุกครั้งที่อ่านบทความการเงิน ทุกครั้งที่จดบันทึกรายรับรายจ่าย หรือทุกครั้งที่คุณตั้งคำถามกับตัวเอง “จะจัดการเงินให้ดีขึ้นได้อย่างไร” แสดงว่ากำลังสร้างรากฐานสู่อิสรภาพทางการเงินแล้ว