บทความ: เกษียณ
เส้นทางอิสรภาพทางการเงิน: จากความฝันสู่ความจริง ที่ใครๆ ก็ทำได้
คุณเคยฝันถึงชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง มีเวลาทำสิ่งที่รัก และเกษียณได้เร็วหรือไม่ ถ้าใช่ สิ่งที่คุณกำลังนึกถึง คือ อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ซึ่งหมายถึงสถานะที่บุคคลมีรายได้เพียงพอจากการลงทุนหรือแหล่งรายได้แบบ Passive Income เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องทำงานประจำอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การบรรลุอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ วินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง และความอดทนในระยะยาว
อิสรภาพทางการเงิน: ความฝันที่เป็นจริงได้
อิสรภาพทางการเงิน คือ สภาวะที่มีรายได้เพียงพอจากทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow Generating Assets) โดยไม่ต้องทำงานประจำ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง แต่คำว่าอิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้หมายถึงการมีเงินล้นฟ้าหรือใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย แต่หมายถึงการมีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขตามแบบฉบับของตัวเอง
ตัวอย่าง
นาย ก. อายุ 45 ปี มีเงินออม 10 ล้านบาท ลงทุนในหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี เท่ากับว่ามีรายได้ 500,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 41,000 บาทต่อเดือน โดยไม่ต้องทำงานประจำ ถ้าค่าใช้จ่ายของนาย ก. อยู่ที่ 35,000 บาทต่อเดือน ก็ถือว่ามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
ทำไมอิสรภาพทางการเงินถึงสำคัญ
- ความมั่นคงในชีวิต เมื่อมีอิสรภาพทางการเงิน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินพอใช้จ่ายในอนาคตหรือไม่ ทำให้ชีวิตมีความมั่นคงมากขึ้น
- อิสระในการเลือก สามารถเลือกทำในสิ่งที่รักและมีความหมายต่อชีวิต โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก
- คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเวลาให้กับครอบครัว งานอดิเรก และการพัฒนาตัวเองมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ
- ความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง สามารถอุทิศเวลาและทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น
เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
การสร้างอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปถ้ามีแผนที่ชัดเจนและมุ่งมั่นทำตามแผน นี่คือขั้นตอนสำคัญในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน
- กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ควรรู้ก่อนว่าต้องการอะไร อิสรภาพทางการเงินหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องการมีเงินเท่าไรถึงจะพอใช้โดยไม่ต้องทำงานประจำ วิธีการ คือ คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนคูณด้วย 12 เดือน แล้วคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ
ตัวอย่าง ต้องการใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีหลังเกษียณ ก็ต้องมีเงิน 30,000 x 12 x 30 = 10,800,000 บาท แต่อย่าเพิ่งตกใจกับตัวเลขนี้ เพราะเป็นแค่ตัวเลขคร่าว ๆ เท่านั้น ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ เพราะเงินที่มีจะงอกเงยขึ้นเรื่อยจากการนำไปลงทุน - ลงทุน การลงทุนเป็นกุญแจสำคัญสู่อิสรภาพทางการเงิน เพราะการออมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากค่าเงินมักลดลงเรื่อย ๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ จึงควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนอย่างน้อย 15 - 20% ของรายได้ในแต่ละเดือน
สำหรับมือใหม่ อาจเริ่มการลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนดัชนี (Index Fund) ซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำและให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดโดยรวม อีกวิธีที่ง่ายและได้ผลดี คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) คือ การลงทุนเป็นประจำทุกเดือนในจำนวนที่เท่า ๆ กัน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างวินัยในการลงทุน - ลดหนี้สินให้เหลือน้อยที่สุด หนี้สินเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุอิสรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบ ดังนั้น ถ้ามีหนี้สิน ให้พยายามชำระให้หมดโดยเร็วที่สุด
- สร้างเงินออมฉุกเฉิน เงินออมฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งการมีเงินออมฉุกเฉินจะช่วยให้ไม่ต้องกังวลเวลาเกิดเรื่องไม่คาดคิด และไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมซึ่งอาจทำให้เป็นหนี้เพิ่ม
- สร้างแหล่งรายได้หลายทาง นอกจากงานประจำ การสร้างแหล่งรายได้หลายทาง เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและก้าวสู่อิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้น
- ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง การมีวินัยในการใช้จ่ายและรู้จักแยกแยะระหว่างความต้องการและความจำเป็นเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน
- วางแผนเกษียณอายุ เริ่มออมและลงทุนเพื่อวัยเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้มีเวลาในการสร้างผลตอบแทนทบต้นที่มากขึ้น
นอกจากขั้นตอนพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมที่จะช่วยให้บรรลุอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น
- ใช้พลังของการทบต้น (Compound Interest) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวว่า ดอกเบี้ยทบต้นเป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ” ยิ่งเริ่มออมและลงทุนเร็วเท่าไร ก็จะได้ประโยชน์จากการทบต้นมากขึ้นเท่านั้น เช่น ถ้าเริ่มลงทุน 1,000 บาทต่อเดือนตั้งแต่อายุ 25 ปี และได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปี จะมีเงินประมาณ 1.9 ล้านบาท แต่ถ้าคุณเริ่มตอนอายุ 35 ปี จะมีเงินเพียง 860,000 บาทเท่านั้น
- ลงทุนในตัวเอง การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด คือ การลงทุนในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเพิ่มเติม การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือการดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- สร้างแหล่งรายได้แบบ Passive Income เป็นรายได้ที่ได้รับโดยไม่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง เช่น รายได้จากการลงทุน ค่าลิขสิทธิ์ หรือรายได้จากธุรกิจออนไลน์ การมี Passive Income จะช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้น
- หาที่ปรึกษาทางการเงิน การมีนักวางแผนการเงินช่วยวางแผนให้จะยิ่งดี เพราะนักวางแผนการเงินจะมองได้รอบด้านมากขึ้น เช่น การลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจากการเจ็บป่วย หรือเหตุอื่น ๆ ในชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้รายได้ที่ตั้งใจจะเตรียมไว้ใช้ไม่รั่วไหลในระหว่างทาง
- มีความยืดหยุ่นในแผนการเงิน ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้น แผนการเงินควรมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ทบทวนและปรับแผนการเงินเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง
มีเท่าไร ถึงเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยล้นฟ้า แต่คือสถานะที่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ซึ่งแต่ละคนก็จะมีนิยามของการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แต่คำถามตามมา คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องมีเงินเท่าไรถึงจะพอ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และค่าใช้จ่ายของตัวเอง ลองจินตนาการดูว่าถ้าไม่ต้องทำงานแล้ว อยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากอยู่บ้านหลังใหญ่ อยากขับรถหรู อยากเที่ยวต่างประเทศบ่อย ๆ หรืออยากใช้ชีวิตเรียบง่าย เมื่อรู้แล้วว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน ก็ลองคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ดู ว่าควรมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนละเท่าไร
สูตร เงินที่ต้องการ = ค่าใช้จ่ายต่อปี x 25
เช่น ถ้ามีค่าใช้จ่ายปีละ 600,000 บาท จะต้องมีเงินประมาณ 15 ล้านบาท (600,000 x 25) จึงจะถือว่ามีอิสรภาพทางการเงิน (เหตุผลที่ต้องคูณ 25 เพราะหลักการที่เรียกว่า กฎ 4% ซึ่งเชื่อว่าถ้าถอนเงินออกมาใช้ปีละ 4% ของเงินลงทุนทั้งหมด เงินก้อนนั้นจะอยู่ได้นานถึง 30 ปี)
หมายเหตุ: สูตร x 25 สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอายุขัยที่แต่ละคนประมาณการ ซึ่งอาจไม่เท่ากัน
จากตัวอย่าง เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการคำนวณเท่านั้น ในความเป็นจริง จำนวนเงินที่ต้องการอาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ถ้าพอใจกับชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ค่าใช้จ่ายก็จะน้อยลง
- แหล่งรายได้อื่น ๆ เช่น เงินบำนาญ สวัสดิการจากภาครัฐ
- สถานที่อยู่อาศัย ค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน บางคนเลือกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า
- สุขภาพ ถ้าสุขภาพแข็งแรง ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะน้อยลง
- ทักษะและความสามารถ ถ้ามีความสามารถพิเศษก็สามารถสร้างรายได้เสริมได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ
อิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป ด้วยการวางแผนที่ดี มีวินัย และอดทน ทุกคนสามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ แม้ว่าเส้นทางอาจจะท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน