บทความ: ประกันภัย
ประกันชีวิตคู่ LGBTQ+ สร้างหลักประกันให้รักมั่นคง
เผยแพร่วันที่ 05/06/2567
ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่นคงเพื่อให้เราและคนที่เรารักพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียรายได้ เจ็บป่วย หรือเสียชีวิต ซึ่งคู่รัก LGBTQ+ ก็มีความจำเป็นในการวางแผนประกันชีวิต เพื่อสร้างหลักประกันให้กับคู่ชีวิต
ปัจจุบันยังมีคำถามว่า “คู่รัก LGBTQ+ สามารถทำประกันชีวิตได้หรือไม่” คำตอบคือ ทำประกันได้และประกันจะคุ้มครองทุกอย่างเหมือนปกติ 100% แต่อาจจะต้องแนบหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มน้ำหนักของความสัมพันธ์ เช่น หลักฐานการทำธุรกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะเอกสารทางการเงิน เอกสารราชการ ที่สำคัญควรแจ้งข้อมูลให้บริษัทประกันครบถ้วน เช่น กรณีตัดหน้าอก เสริมหน้าอก หรือแปลงเพศเรียบร้อย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณารับประกันและการจ่ายสินไหมทดแทน เพราะหากไม่แจ้งบริษัทประกันอาจมองว่าเป็นการปกปิดประวัติและอาจถูกยกเลิกกรมธรรม์หากบริษัทรับทราบภายหลัง
เงื่อนไขและเอกสารเบื้องต้นของคู่รัก LGBTQ+ ควรเตรียมก่อนทำประกันชีวิต
หมายเหตุ : เงื่อนไขและเอกสาร ขึ้นอยู่กับการพิจารณาแต่ละบริษัทประกัน |
เมื่อตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำประกันชีวิต ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้รัดกุมก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับทั้งคู่ 3 ข้อที่ต้องดูก่อนเลือกซื้อประกันคู่รัก LGBTQ+
- สำรวจตัวเองและคนในครอบครัว ต้องดูว่าตัวเองหรือคนในครอบครัว มีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออะไร เช่น ซื้อประกันเพื่อออมเงิน เพื่อสร้างหลักประกันให้คนที่อยู่ข้างหลัง เพื่อแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น เพราะประกันชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ หากทราบจุดประสงค์ จะทำให้เลือกแผนประกันได้ตรงกับความต้องการที่สุด
- ดูความคุ้มค่า ดูว่าประกันที่เลือก ให้ความคุ้มครองและผลตอบแทนตอบโจทย์ที่ต้องการหรือไม่ อาจเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันหลาย ๆ ที่ เพื่อให้ได้แผนประกันที่คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด
- จ่ายค่าเบี้ยไหวหรือไม่ ให้เลือกระยะเวลาจ่ายเบี้ยและทุนประกันที่เหมาะสมกับกำลังเงิน เพื่อให้สามารถเก็บออมได้แบบไม่สะดุด หรือเลือกประกันที่สามารถทยอยจ่ายเบี้ยแบบรายเดือนได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักจนเกินไป
โดยประกันชีวิตที่คู่รัก LGBTQ+ ควรเลือกทำเป็นฉบับแรก คือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งมีทั้งการออมเงินและความคุ้มครองชีวิต โดยการออมเงินจะมีเงินจ่ายคืนเป็นรายงวดตามเวลาที่กำหนด หรือคืนเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียวเมื่อครบสัญญา ส่วนความคุ้มครองชีวิต เมื่อผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิตระหว่างสัญญา ก็จะได้รับเงินก้อนให้คนข้างหลังไว้ใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินตามที่กำหนดในสัญญาของแต่ละแบบประกัน
ส่วนประกันชีวิตฮอตฮิตที่สุด คือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพราะให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลานาน หากเสียชีวิตในระหว่างสัญญาบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยยังคงมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา 85 ปี 89 ปี 90 ปี 95 ปี หรือ 99 ปี ขึ้นอยู่กับแบบประกัน บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยข้อดีคือ ให้ความคุ้มครองนานทั้งชีวิต จึงเป็นมรดกให้กับคู่ชีวิตหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต และแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ทำให้ได้ความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพ
เมื่อทำประกันชีวิตแล้วก็ควรมีประกันสุขภาพด้วย เพราะจะได้รับความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกันสุขภาพจะแตกต่างกับประกันชีวิตตรงที่ประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่ายารักษา ไปจนถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่กำหนดเอาไว้ในกรมธรรม์ นอกจากนี้ ประกันสุขภาพบางตัวยังมีการชดเชยค่าใช้จ่ายในกรณีที่เสียชีวิตอีกด้วย
ประกันชีวิตจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เสียชีวิตเท่านั้น แต่การซื้อประกันชีวิตยังสามารถเลือกกรมธรรม์ที่สะสมทรัพย์ สร้างผลตอบแทน หรือเลือกผู้รับผลประโยชน์ได้ตามต้องการ ดังนั้น การมีประกันสุขภาพ จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญที่ควรมีไว้ เพราะจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการรองรับความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ช่วยดูแลค่าใช้จ่าย ทั้งค่าห้อง ค่ายา หรือค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป หรืออุบัติเหตุ(1)
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำประกันแล้ว ประเด็นถัดมาและเป็นเรื่องที่บริษัทประกันเข้มงวดกับการทำประกันคู่รัก LGBTQ+ คือ ผู้รับผลประโยชน์ประกัน เพราะไม่ใช่ญาติ ดังนั้น บริษัทประกันบางแห่งจะให้สิทธิ์ในการเป็น “คู่ชีวิต” เพื่อใส่ชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ประกัน 3 ประโยชน์หลักๆ ของประกันคู่ชีวิต(2) คือ
- ความคุ้มครองทางการเงิน ช่วงที่คู่ครองเสียชีวิต เงินสินไหมทดแทนจากประกันจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ให้คู่ครองที่เหลืออยู่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
- วางแผนการเงินระยะยาว ใช้เป็นเครื่องมือวางแผนการเงินระยะยาว เช่น การวางแผนการศึกษาบุตร การวางแผนเกษียณอายุ
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
คู่รัก LGBTQ+ ที่อยากสร้างอนาคตร่วมกัน ดูแลกันทั้งในวันที่หัวเราะและวันที่น้ำตาไหล แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับสิทธิเต็มที่ เช่น การรับมรดก การใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลร่วมกัน ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ หากคนรักเจ็บป่วยหรือจากไป
แต่รู้หรือไม่ว่า ประกันชีวิต คือ ทางออกที่ช่วยแบ่งเบาภาระเหล่านี้ได้ เพราะกรมธรรม์ประกันได้เปิดกว้างเรื่องผู้รับผลประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติทางสายเลือด ดังนั้น คู่รัก LGBTQ+ สามารถทำประกันชีวิตเพื่อดูแลกันและกันได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
ที่มา: (1)บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (2)บริษัท ทิสโก้ อินชัวรันส์ โซลูชั่น จำกัด