บทความ: ภาษีและมรดก
ประกัน Keyman ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
โดย มานพ รัตนะ นักวางแผนการเงิน CFP®
เผยแพร่วันที่ 31/03/2567
ประกัน Keyman เป็นแนวคิดในการซื้อประกันชีวิตให้กับบุคคลสำคัญขององค์กร เช่น เจ้าของกิจการ กรรมการ ผู้บริหาร ผู้จัดการ เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับบุคคลเหล่านั้น โดยบริษัทสามารถนำเอาเบี้ยประกันดังกล่าว รวมถึงภาษีออกให้ (ถ้ามี) มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ในขณะที่เบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทจ่ายให้นั้น กรรมการต้องรับรู้เป็นรายได้เพื่อนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
5 สาเหตุที่บริษัทส่วนใหญ่ตัดสินใจทำประกัน Keyman
1.ต้องการประหยัดภาษี โดยเบี้ยประกัน Keyman รวมถึงภาษีออกให้ทุกทอด (ถ้ามี) สามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีและภาษีได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3), (13) แห่งประมวลรัษฎากร
2.ต้องการค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง โดยเบี้ยประกันที่จ่ายไปเป็นรายจ่ายที่มีเอกสารหลักฐานชัดเจน (มีใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันจากบริษัท) ช่วยลดปัญหาถูกบวกกลับ เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และลดความเสี่ยงในการสร้างค่าใช้จ่ายต้องห้าม
3.ต้องการนำเงินออกจากบริษัทอย่างถูกต้อง โดยผลประโยชน์จากกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์ ที่มีเงินคืนระหว่างสัญญา เงินคืนเมื่อครบสัญญา รวมถึงประโยชน์อื่นๆ ที่ได้จากการประกันชีวิต จะจ่ายตรงไปที่กรรมการ (เจ้าของกิจการ) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42(13) ด้วย
4.ต้องการหลักประกันที่มั่นคง หากบุคคลสำคัญของกิจการต้องจากไป อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการต่อไป การทำประกันเพื่อคุ้มครองค่าความสามารถของกรรมการ ทำให้มีเงินก้อนมาใช้ในการบริหารจัดการในส่วนต่างๆ ช่วงที่กิจการต้องปรับตัว ทำให้กิจการสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้
5.ต้องการสร้างเป็นสวัสดิการให้กรรมการ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการบริหารงานและกำหนดทิศทางของธุรกิจ การสร้างสวัสดิการให้บุคคลเหล่านี้จึงเป็นการสร้างแรงจูงใจและความภักดีต่อองค์กร รวมทั้งเป็นขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากรในการทุ่มเทการทำงานให้กับกิจการอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามการทำประกัน Keyman ก็เสมือนดาบสองคม คือ ด้านหนึ่งมีประโยชน์มากมาย (หากทำถูกต้อง) ในขณะที่ด้านหนึ่ง ก็อาจก่อให้เกิดโทษหนัก (หากทำไม่ถูกต้อง) ดังนั้น การทำประกัน Keyman ทั้งฝั่งผู้ประกอบการ ฝั่งผู้ทำบัญชี และฝั่งผู้ขาย ควรจะมีความเข้าใจตรงกันในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่ทางสรรพากรได้วางหลักเกณฑ์เอาไว้
3 หลักสำคัญในการทำประกันKeyman
1.ทำให้กับกรรมการทุกคนเป็นการทั่วไป เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติกับคนใดคนหนึ่ง จึงต้องทำให้กับกรรมการทุกคนที่อยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกัน จึงจะสามารถนำเอาเบี้ยประกันไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3), (13) แห่งประมวลรัษฎากร
2.มีมติที่ประชุม การทำประกัน Keyman ถือเป็นการให้สวัสดิการแก่บุคคลสำคัญขององค์กร ซึ่งก็คือกรรมการบริษัท จึงต้องมีมติประชุมจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติให้กระทำได้
3.เบี้ยประกันเป็นจำนวนที่เหมาะสม เนื่องจากเบี้ยประกัน Keyman รวมถึงภาษีออกให้ (ถ้ามี) สามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ การจ่ายเบี้ยประกันให้กับกรรมการทุกคน ควรเป็นจำนวนที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป ซึ่งอาจถูกประเมินเป็นค่าใช้จ่ายเกินสมควรได้
3 ข้อผิดพลาดจากการทำประกัน Keyman
1.เบี้ยประกันสูงเกินสมควร ตัวแทนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าเบี้ยประกันที่เหมาะสม คำนวณจาก 5% ของรายได้ หรือ 20% ของกำไรก่อนภาษี แล้วแต่จำนวนใดจะน้อยกว่า ทำให้นำเสนอเบี้ยประกันเต็มจำนวนที่คำนวณได้ อาจทำให้ลูกค้าองค์กรมีโอกาสถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรประเมินได้ว่าเบี้ยประกันดังกล่าวสูงเกินสมควรได้
2.ไม่ได้นำเบี้ยประกันที่บริษัทจ่ายให้ไปบันทึกเป็นรายได้ของกรรมการ หลายครั้งที่ตัวแทนหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารจะนำเสนอเจ้าของกิจการทำประกัน Keyman โดยนำเอาเรื่องการประหยัดภาษีนิติบุคคลมาเป็นประเด็นหลัก แต่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่า เงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทออกให้กรรมการนั้นถือเป็นประโยชน์เพิ่มที่กรรมการได้รับ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรรมการต้องนำไปรวมกับเงินได้อื่น ๆ เพื่อคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากรด้วย
3.คำนวณภาษีออกให้ทุกทอดเพียงแค่ปีแรก กรณีที่ทำประกัน Keyman ให้กรรมการ ส่งผลให้กรรมการมีภาระทางภาษีเงินได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น บริษัทสามารถออกภาษีทุกทอดให้กรรมการได้ โดยบริษัทสามารถนำเอาภาษีที่ออกให้ไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้ด้วย ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3),(13) โดยต้องมีการระบุไว้ในมติที่ประชุมด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ต้องคำนวณภาษีออกให้ในปีถัด ๆ ไปทุกครั้งที่มีการชำระเบี้ยประกัน
ผลกระทบจากการทำผิดกระบวนการ
หลายครั้งที่พบปัญหาว่า ทำประกัน Keyman ไปแล้ว แต่ไม่ได้ทำตามหลักเกณฑ์ที่สรรพากรวางไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่สรรพากรประเมินว่าเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม จึงต้องนำเอาเบี้ยประกันรวมถึงภาษีออกให้ (ถ้ามี) บวกกลับเป็นรายได้ของกิจการ ทำให้กิจการมีกำไรสูงขึ้น ส่งผลให้เสียภาษีมากขึ้น ดังนั้น เจ้าของกิจการจึงต้องเสียภาษีในส่วนที่ยื่นขาด พร้อมเบี้ยปรับ (1 - 2 เท่า) และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ของภาษีที่ยื่นขาดไป (เศษของเดือนนับเป็น 1 เดือน) โดยคำนวณนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี จนถึงวันที่ชำระภาษีจนครบ
คำถามที่มักพบเจอในการทำประกัน Keyman
- กรรมการแต่ละคนจำเป็นต้องทำเบี้ยประกันเท่ากันหรือไม่ ทางสรรพากรไม่ได้มีข้อบังคับว่าจะต้องทำเบี้ยประกันเท่ากัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ทำเป็นสวัสดิการให้กับกรรมการที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็ควรจะทำแผนประกันที่เหมือนกัน เบี้ยประกันอาจไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นผลจากเพศ อายุ และประวัติสุขภาพ ก็ไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้ถูกประเมินว่าเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามได้
- ใครเป็นผู้รับประโยชน์จากการทำประกัน Keyman กรรมการสามารถระบุผู้รับประโยชน์เป็นบริษัท หรือเป็นทายาทของกรรมการก็ได้
- หากไม่บันทึกเป็นรายได้ของกรรมการจะได้หรือไม่ เงินค่าเบี้ยประกันชีวิตรวมถึงภาษีที่บริษัทออกให้กรรมการนั้นถือเป็นประโยชน์เพิ่มที่กรรมการได้รับ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรรมการต้องนำไปรวมกับเงินได้อื่นๆ เพื่อคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากรด้วย
- จำเป็นต้องทำพร้อมกันทุกคนหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันทุกคน กรณีมีกรรมการหลายท่าน สามารถทยอยทำได้ แต่ต้องทำให้ครบทุกคนภายในรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัท
- เบี้ยประกันที่เหมาะสม คิดจากอะไร ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งนี้ ควรคุยกับตัวแทนที่มานำเสนอให้ชัดเจนในเรื่องนี้ เพื่อป้องกันการถูกตีกลับเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม
- เวลาบันทึกบัญชี ค่าเบี้ยประกันต้องเฉลี่ยเป็นรายเดือนหรือไม่ การทำประกัน Keyman ถือเป็นการให้สวัสดิการแก่กรรมการ ในขณะเดียวกัน กรรมการก็ต้องรับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวน จึงบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อน และหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของกรรมการ ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร และนำส่ง ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- เบี้ยประกันสามารถแบ่งชำระได้หรือไม่ สามารถแบ่งชำระเป็นราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน ได้ตามปกติ
- ต้องจ่ายด้วยเช็คบริษัทเท่านั้นหรือไม่ กิจการสามารถจ่ายด้วยเช็คบริษัท หรือโอนเงินจากบัญชีบริษัทเข้าบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม กรรมการสามารถสำรองจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือบัญชีส่วนตัวของกรรมการได้ แล้วไปเบิกคืนจากบริษัทภายหลัง โดยต้องมีการทำใบสำคัญจ่ายแนบเข้าไปในระบบเอกสารด้วย
จะเห็นได้ว่า การทำประกัน Keyman มีประโยชน์มากมายทั้งในด้านขององค์กร และตัวกรรมการหรือเจ้าของกิจการ ซึ่งการสมัครทำประกัน Keyman ไม่ยาก แต่การทำกระบวนการต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงการจัดการเอกสารต่าง ๆ หลังจากที่ได้มีการทำประกันไปแล้ว
ดังนั้น หากเป็นตัวแทนประกันชีวิต ต้องมีการศึกษาถึงหลักการ กระบวนการ ขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำประกัน Keyman ให้แตกฉาน เพื่อไม่ให้ลูกค้าผู้ประกอบการต้องเสี่ยงที่จะถูกสรรพากรประเมินย้อนหลัง ในขณะเดียวกัน หากคุณเป็นผู้ประกอบการ ก็ต้องเลือกตัวแทนประกันชีวิตที่จะเข้ามาดูแลเรื่องการทำประกัน Keyman ให้ดี นอกจากจะช่วยประหยัดเงินภาษีนิติบุคคลแล้วแล้ว ยังจะได้รับประโยชน์จากการวางแผนภาษีบุคคลธรรมดาและการจัดการด้านอื่น ๆ แถมมาอีกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง :
ประมวลรัษฎากร มาตรา 39, มาตรา 40, มาตรา 42, มาตรา 65 ตรี
ข้อหารือกรมสรรพากร ฉบับที่ กค.0811/408