บทความ: ลงทุน
กองทุนรวม Thai ESG สิทธิทางภาษีที่เพิ่มขึ้น บนการลงทุนทางเลือกใหม่
โดย ภก.ธริญญ์รัฐ ปิยะศิริโสฬส นักวางแผนการเงิน CFP®
เผยแพร่วันที่ 28/01/2024
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการมาตรการยกเว้นภาษี จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยตามข้อเสนอจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมาซึ่งให้บุคคลธรรมดาที่ลงทุนในหน่วยลงทุน Thailand ESG Fund (Thai ESG) ได้รับการยกเว้นรายได้พึงประเมินไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่นับรวมกับกองทุนเพื่อการออมอื่นๆ (กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าการเงินเพื่อการเกษียณ) และผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อกองทุน และกำไรจากการซื้อขายกองทุนรวม Thai ESG ยังไม่ต้องนำไปคิดคำนวณภาษีเงินได้ ณ วันที่ขายคืนหน่วยลงทุนอีกด้วยทำให้เป็นดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในการลงทุน แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักว่า Thai ESG คือ การลงทุนรูปแบบใด และน่าสนใจหรือไม่ผ่านบทความนี้
ปัจจุบันไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม สังคม มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การลงทุนในรูปแบบการลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainability Investment) ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุนบุคคล และสถาบันทั่วโลก ซึ่งการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวเกิดจากแนวคิดการพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืนผ่านการคำนึงถึงผลกระทบของการดำเนินธุรกิจต่อ สิ่งแวดล้อม (Environmental) , สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) (ESG) ซึ่งกลายเป็นเมกะเทรนด์ของโลกการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
รูปที่ 1 : แนวคิดการลงทุนแบบ ESG จาก setsustainability.com
มีการประมาณการจาก PwC คาดว่าผู้จัดการกองทุนต่างๆ ทั่วโลกจะเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ ESG จาก 18.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 เป็น 33.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2026 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 12.9% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างสูงทำให้การลงทุนในแนวทาง ESG นั้นเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น1
สำหรับประเทศไทยเองก็มีการพัฒนาแนวทางการลงทุนในธุรกิจที่สนับสนุนด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2558 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการจัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืนขึ้น (Thailand Sustainability Investment : THSI) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG Ratings โดยในปี 2566 มีบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET และ MAI ได้รับการประเมินเป็นหุ้นยั่งยืนทั้งสิ้น 193 บริษัท
นอกจากบริษัทจดทะเบียนที่มีการจัด ESG Rating แล้ว ยังมีตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) อีกด้วย ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยได้แบ่ง ESG Bond ออกเป็น 4 ประเภทได้แก่ ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) , ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) , ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) และตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond) ซึ่งการออกเสนอขายตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนในไทยก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ตามรูปที่ 2
รูปที่2 : แสดงการเติบโตของการการขาย ESG Bond ในประเทศไทยจาก SCBAM
ทำให้นโยบายการลงทุน Thai ESG นั้นครอบคลุมทั้งการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนใน SET หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings และตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) ทำให้ผู้เลือกลงทุนใน Thai ESG สามารถจัดสรรเงินลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ตนรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือเป็นเรื่องที่ดีต่อทุกฝ่ายเพราะนอกจากผู้ลงทุนจะได้ลงทุนตามเป้าหมายการเงินตนเองแล้ว ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุนไทย แล้วก็ยังช่วยให้โลกน่าอยู่มากขึ้นผ่านการลงทุนในกองทุนทางเลือกใหม่อย่าง “Thailand ESG Fund”
อ้างอิงข้อมูล
- PwC London (2022), “ESG-focused institutional investment seen soaring 84% to US$33.9 trillion in 2026, making up 21.5% of assets under management: PwC report” จาก https://www.pwc.com/gx/en/news-room/press-releases/2022/awm-revolution-2022-report.html