logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

ครึ่งปีแล้ว มาตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุนกันเถอะ

เผยแพร่วันที่ 03/05/2024

การตรวจสุขภาพทางการเงินก็เหมือนสุขภาพร่างกายที่ต้องมีการตรวจเป็นประจำ โดยในช่วงกลางปีก็เป็นเวลาเหมาะสมในการประเมินสถานะการเงินเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี มีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไข มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่ ที่สำคัญสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินที่ตัวเองวางเอาไว้หรือไม่

ปัจจุบันอาจมีหลายคนเชื่อว่าเมื่อลงทุนไปแล้วไม่ต้องมานั่งตรวจสอบพอร์ตลงทุน เพราะมั่นใจว่าการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น เป็นพอร์ตที่ดีมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่มีความแน่นอน รวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ และทำให้พอร์ตลงทุนโดยรวมได้รับความเสียหายตามไปด้วย ดังนั้น เพื่อให้เงินลงทุนเติบโตและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนแบบสม่ำเสมอ “การตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ” เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย  

 

ขั้นตอนการตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุน

รวบรวมข้อมูล โดยให้รวบรวมข้อมูลสินทรัพย์ทั้งหมดในพอร์ตลงทุนว่ามีการจัดสินทรัพย์ (Asset Allocation) ซึ่งหมายถึงการแบ่งสัดส่วนน้ำหนักของเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนต่าง ๆ ตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่วางเอาไว้ โดยเมื่อเวลาผ่านไปราวครึ่งปีก็ควรตรวจสอบพอร์ตลงทุนกันสักครั้ง โดยเฉพาะช่วงตลาดมีความผันผวนยิ่งต้องดูเป็นพิเศษ เพราะจะได้รู้ว่าสินทรัพย์ประเภทไหนมีราคาปัจจุบัน สร้างผลตอบแทน และระดับความเสี่ยงเป็นอย่างไร เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปอาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนได้ จึงควรตรวจสอบว่าสัดส่วนของพอร์ตลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้หรือไม่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการจัดพอร์ตลงทุนใหม่ให้กลับไปเหมือนเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น

ประเมินผลการลงทุน ตรวจสอบผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทว่าผ่านมาครึ่งปี สินทรัพย์ต่าง ๆ สร้างผลตอบแทนให้เป็นอย่างไร เช่น หากกองทุนไหนให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจก็ถือเอาไว้ต่อ ขณะเดียวกันกองทุนที่สร้างผลตอบแทนขาดทุน ควรทบทวนว่าสาเหตุเกิดจากสภาพตลาดที่ผันผวน หรือผู้จัดการกองทุนที่บริหารได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่ากองทุนอื่นในกลุ่มเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างหลังก็อาจพิจารณาขาย แล้วนำเงินไปลงทุนกองทุนใหม่ (ต้องเป็นกองทุนประเภทเดียวกัน) เข้ามาทดแทน แต่ถ้าประเมินแล้วเห็นว่ากองทุนนั้นจะให้ผลตอบที่ดีในระยะยาว แต่มูลค่าลดลงเพราะสภาพตลาดผันผวน ก็ควรถือต่อหรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เป็นต้น

วิเคราะห์สินทรัพย์ลงทุน ทำการศึกษาข้อมูลที่สำคัญ วิเคราะห์สินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจสินทรัพย์ดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น เช่น หากลงทุนหุ้น XYZ ก็เข้าไปดูงบการเงินเพื่อให้เห็นความสามารถในการทำกำไร ระดับหนี้สิน สถานะการเงิน หรืออัตราส่วนสำคัญทางการเงิน เช่นเดียวกันหากลงทุนกองทุนรวมก็พิจารณาข้อมูลหนังสือชี้ชวนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) ว่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุน ปัจจัยความเสี่ยงสำคัญหรือข้อมูลแสดงคำเตือนที่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ โดยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ลงทุนจะเป็นปัจจัยในการพิจารณาว่าจะวางกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร

ปรับสมดุลพอร์ตลงทุน การปรับพอร์ตสมดุลการลงทุน (Portfolio Rebalancing) เป็นการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ลงทุนให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่วางเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่กำหนด เพื่อทำให้พอร์ตกลับมามีความสมดุลเหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นการบริหารความเสี่ยง กรณีราคาสินทรัพย์ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและอาจส่งผลความเสียหายต่อพอร์ตลงทุนโดยรวม 

 

ตัวอย่าง เริ่มต้นลงทุน 100,000 บาท สินทรัพย์ 3 ประเภท

1.พันธบัตร 40% = 40,000 บาท
2.ทองคำ 30% = 30,000 บาท
3.หุ้น 30% = 30,000 บาท

เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี พันธบัตรได้กำไร 10% จะเป็น 44,000 บาท ทองคำได้กำไร 15% จะเป็น 34,500 บาท และหุ้นขาดทุน 10% จะเหลือ 27,000 บาท รวมเงินในพอร์ตเท่ากับ 105,500 บาท โดยมีสัดส่วนจำนวนเงินลงทุนแต่ละสินทรัพย์ ดังนี้

1.พันธบัตร 44,000/105,500 = 41.71%
2.ทองคำ 34,500/105,500 = 32.70%
3.หุ้น 27,000/105,500 = 25.59%

จะเห็นว่าสัดส่วนการลงทุนเปลี่ยนแปลง โดยพันธบัตรเพิ่มเป็น 41.71% ทองคำเพิ่มเป็น 32.70% ขณะที่หุ้นลดลง 25.59% ดังนั้น จึงควรปรับพอร์ตให้กลับมามีความสมดุลเหมือนเดิม

1.พันธบัตร 40% x 105,500 = 42,200 บาท
2.ทองคำ 30% x 105,500 = 31,650 บาท
3.หุ้น 30% x 105,500 = 31,650 บาท

วิธีปรับพอร์ตให้กลับมามีความสมดุลเหมือนเดิม คือ ขายพันธบัตรจะได้เงิน 1,800 บาท (44,000 – 42,200) และทองคำจะได้เงิน 2,850 บาท (34,500 – 31,650) จากนั้นก็นำเงินที่ได้รับจากการขายทั้งหมด 4,650 บาท (1,800 + 2,850) ไปลงทุนหุ้นก็จะทำให้สัดส่วนพอร์ตลงทุนกลับไปเหมือนเดิม   

1.พันธบัตร 40% = 42,200 บาท
2.ทองคำ 30% = 31,650 บาท
3.หุ้น 30% = 31,650 บาท

 

การตรวจสอบพอร์ตลงทุน จะทำให้รู้ว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนทั้งหมดยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีมากน้อยแค่ไหน หากยังเป็นสินทรัพย์ที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีก็ถือลงทุนต่อ ส่วนสินทรัพย์ไหนที่ขาดทุนอยู่แต่เมื่อประเมินแล้วพบว่ามีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว ก็ให้ถือต่อหรือพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

ดังนั้น การติดตามพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะเพิ่มความมั่นใจให้กับอนาคตทางการเงินแล้ว ยังช่วยลดผลขาดทุนก่อนที่จะติดลบหนักๆ จนสายเกินแก้ รวมทั้งลดความกังวลใจของการลงทุนในระยะยาวด้วย

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th