บทความ: เกษียณ
“ประกันโรคร้ายแรง” อีกสินทรัพย์ที่ขาดไม่ได้สำหรับแผนเกษียณ
โดย แพทย์จีน ภูกิจ เล้าจีรัณกุล ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM
เผยแพร่ ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2566
หลายคนอาจมองข้ามประกันโรคร้ายแรงไป เพราะคิดว่ามีประกันสุขภาพอยู่แล้วก็เพียงพอ
จากข้อมูลทางสถิติพบว่าในปัจจุบันการเกิดโรคร้ายแรงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหลอดเลือดสมองที่มีอัตราการพิการเป็นอันดับ 1 และอัตราการตายเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย(1) เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น จึงทำให้คนวัยเกษียณมีความเสี่ยงการเกิดโรคเหล่านี้ มากกว่าคนในวัยอื่น ๆ และในปัจจุบันพบว่าอัตราการเกิดโรคเหล่านี้ เริ่มพบในคนที่มีอายุน้อยลงมาเรื่อย ๆ
คำถามคือ แล้วประกันสุขภาพที่มีอยู่ไม่เพียงพอหรือ คำถามนี้เกิดจากความไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรง รวมถึงอาจจะลืมคำนึงผลสืบเนื่องต่าง ๆ ที่ตามมาหลังจากเจ็บป่วย โดยก่อนอื่นควรทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประกัน 2 แบบนี้ และผลสืบเนื่องจากการเจ็บป่วย
ความแตกต่างระหว่างประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรง
- ประกันสุขภาพ จะเป็นประกันที่จะจ่ายค่ารักษาให้กับโรงพยาบาลเมื่อคุณเจ็บป่วยและเข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขแบบประกันที่เลือก แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาลมา จะไม่สามารถเบิกเคลมในส่วนนี้ได้อีกต่อไป
- ประกันโรคร้ายแรง จะเป็นประกันที่จะจ่ายสินไหมเป็นเงินสด เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรงและตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์
ผลสืบเนื่องจากการเป็นโรคร้ายแรง
- ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากขณะพัก รพ. รวมถึงค่ารักษาต่อเนื่องหลังจากออก รพ.
- อาจจะตกงานและสูญเสียรายได้
- อาจจะต้องมีค่าจ้างคนดูแล หรือค่าใช้จ่ายสถานดูแลผู้ป่วย
จะเห็นได้ว่า เมื่อเจ็บป่วยจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจำนวนมากพร้อมกับรายได้ที่หายไป ซึ่งหากต้องเจ็บป่วยช่วงก่อนเกษียณ หรือช่วงเกษียณโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนหรือเตรียมตัวในส่วนนี้ไว้ให้ดีก่อนแล้ว ก็จะกระทบกับเงินเก็บทั้งหมดทันที ดังนั้น สิ่งที่สำคัญและจำเป็นไม่แพ้ไปกว่าการเก็บออมเงินเพื่อเกษียณ คือ การมีแผนปกป้องเงินเก็บยามเกษียณ ด้วยการทำ “ประกันโรคร้ายแรง”
ปัจจัยที่ควรนำมาคำนวณวงเงินคุ้มครองโรคร้ายแรง
- อายุปัจจุบันและอายุขัยเฉลี่ยคาดการณ์
- รายได้และรายจ่ายต่อเดือนในปัจจุบัน
- รายจ่ายสืบเนื่องขั้นต่ำจากค่ารักษาและดูแลในอนาคต
- ค่าคนดูแลหรือค่าบริการสถานดูแลผู้ป่วย 20,000-30,000 บาท/เดือน
- ค่ายา ค่ากายภาพ ค่ารักษาสืบเนื่อง 20,000-30,000 บาท/เดือน
หมายความว่า หากต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 40,000-60,000 บาท/เดือน ทีเดียว
คำนวณ
- ค่าใช้จ่ายคนดูแล 30,000 บาท/เดือน คิดเป็น 360,000 บาท/ปี
- ค่าใช้จ่ายการรักษาต่อเนื่อง 30,000 บาท/เดือน คิดเป็น 360,000 บาท/ปี
หมายความว่า ค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้นต่อปีทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 720,000 บาท/ปี ไม่รวมค่าใช้จ่ายปกติประจำเดือน (ในกรณีเป็นคนโสดไม่มีคนช่วยแบ่งเบา) หรือภาระค่าใช้จ่ายครอบครัว (ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นหัวหน้าครอบครัว) และหากเป็นเร็วเกินไป หมายความว่าระยะเวลาการใช้เงิน จนกว่าจะหมดอายุขัยก็มากขึ้นไปอีกทีเดียว หากคิดว่าอยู่ได้อีก 10 ปีหลังจากป่วย จำนวนเงินที่ต้องใช้เพิ่มขึ้นจากเดิม อย่างน้อยก็คือ 7.2 ล้านบาท ไม่รวมภาวะเงินเฟ้อ
จะเห็นได้ว่า ภาระด้านค่าใช้จ่ายต่อปีหลังเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ตัวอย่างข้างบนกรณี ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจะมีภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถทำงานอาชีพเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งค่าใช้จ่ายจริงอาจจะมากกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ และในความเป็นจริงอาจจะมีปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลร่วมด้วย
ที่มา
- กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2564, หน้า 76.
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th