บทความ: ลงทุน
เลือกกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมให้เหมาะกับเรา
โดย ภก.ธริญญ์รัฐ ปิยะศิริโสฬส ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™
เมื่อพูดถึงการลงทุนในกองทุนรวม คำที่มักได้ยินควบคู่กันไป คือ Dollar Cost Averaging หรือ DCA ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นอกจาก DCA แล้ว ยังมีกลยุทธ์อื่น ๆ อีกหลายอย่าง
“กลยุทธ์การลงทุน” คือ แนวทางในการนำเงินลงทุนมาซื้อสินทรัพย์ลงทุนต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในแผนการลงทุน ลดความผันผวนของตลาด หรือเพิ่มโอกาสการทำกำไร ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ก็จะมีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เนื่องจากความแตกต่างกันของระยะเวลาที่ต้องการไปให้ถึงเป้าหมายการเงิน ความสามารถในการรับความเสี่ยง รวมถึงงบประมาณในการลงทุน ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมที่จะกล่าวถึงจะแยกเป็น 4 รูปแบบ
1. Dollar Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์การลงทุนโดยการแบ่งเงินจำนวนเท่ากัน ลงทุนในช่วงเวลาที่ระยะห่างเท่ากัน เป็นงวด ๆ เช่น ลงทุนในกองทุน ABC ทุกเดือน ๆ ละ 5,000 บาท ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในระยาว เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ค่อนข้างดี ซึ่งในภาวะตลาดขาขึ้นจะทำให้ได้หน่วยลงทุนจำนวนน้อย แต่ภาวะตลาดขาลงจะได้รับหน่วยลงทุนจำนวนมากขึ้นในปริมาณเงินเท่าเดิม สามารถลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะการลงทุนและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ในการลงทุนระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการสร้างอุปนิสัยที่ดีสำหรับผู้เริ่มลงทุน คือ การสร้างวินัยการลงทุน สิ่งสำคัญ คือ ผู้ลงทุนควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่แนวโน้มของราคาเติบโตในระยะยาว ล้อกันไปกับระยะเวลาของเป้าหมายการลงทุน เนื่องจากหากเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มของราคาเป็นขาลงในระยะยาว หรือมีราคาผันผวนตามวงรอบเศรษฐกิจ เช่น น้ำมัน, สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้
2. Lumpsum หรือ Market Timing เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับผู้มีเงินก้อน รับความเสี่ยงได้สูง มีเวลาในการติดตามข่าวสาร และมีความสามารถในการวิเคราะห์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ลงทุน เนื่องจากเป็นการจับจังหวะ ชิงความได้เปรียบในการซื้อขาย
ข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่งของกลยุทธ์นี้ คือ สามารถทำกำไรได้สูงในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็สามารถขาดทุนได้สูงเช่นเดียวกันหากวิเคราะห์ข้อมูลผิดพลาด และการมีเงินก้อนจำนวนมากจะทำให้การใช้กลยุทธ์นี้คุ้มค่ามากกว่า เช่น มีเงินลงทุน 500,000 บาท ทำกำไรได้ 10% ได้รับผลกำไร 50,000 บาท ในทางกลับกันมีเงินลงทุน 5,000 บาท ทำกำไรได้ 10% ได้รับผลกำไร 500 บาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าจำนวนเงินลงทุนที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่ต่างกัน ส่วนกองทุนรวมที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนแบบนี้จะเป็นกองทุนรวมดัชนี หรือกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ทองคำ เป็น เนื่องจากสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของราคาได้ง่าย
3. Combined Method เป็นกลยุทธ์ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง DCA และ Market Timing แต่กรอบเวลาของการลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาว คือเป็นการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นงวด ๆ แต่ก็มีการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ลงทุนโดยคาดหวังว่าในแต่ละช่วงที่ทำการลงทุนนั้นจะได้รับสินทรัพย์ที่ราคาต่ำที่สุดในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น ต้องการลงทุนในกองทุน ABC เดือนละ 5,000 บาท แต่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าในแต่ละเดือนนั้นจะลงทุนในวันที่เท่าไร แต่ใช้การคาดการณ์แนวโน้มราคาจากเหตุการณ์ต่าง ๆในช่วงนั้นเพื่อช่วยเลือกจังหวะการเข้าลงทุนแทน เช่น หากเกิดสงครามขึ้นก็มักจะเกิดความกังวลในตลาดการเงิน ทำให้ราคาสินทรัพย์การเงินมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนอาจอาศัยจังหวะนี้ในการเข้าลงทุน เพื่อทำให้ราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ลงทุนต่ำลง ผู้ลงทุนมีโอกาสกำไรมากกว่าการทำ DCA ปกติหากวิเคราะห์แนวโน้มของราคาได้ถูกต้อง และการลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้ก็ควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเติบโตของราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาวเช่นกัน
4. Value Averaging เป็นกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะยาวที่มีการกำหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้า ว่าผู้ลงทุนต้องการให้แผนการลงทุนมีมูลค่าเท่าไรเมื่อจบระยะเวลาการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา จะมีการทบทวนมูลค่าของแผนการลงทุนว่าเป็นไปอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ หากมีมูลค่าเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้จะมีการขายออกทำกำไร หากมีมูลค่าน้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเพื่อให้แผนการลงทุนมีมูลค่าตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
ตัวอย่างผู้ลงทุนตั้งเป้าหมายไว้ว่ามูลค่าแผนการลงทุนที่ปีที่ 10 จะต้องมีมูลค่า 1,000,000 บาท และทุกสิ้นปีจะต้องมีมูลค่าสะสมเพิ่มขึ้น 100,000 บาททุกสิ้นปี
ตารางที่1 ตัวอย่างการลงทุนตามกลยุทธ์ Value Averaging
จากตัวอย่างสังเกตได้ว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Averaging จะให้ความสำคัญกับมูลค่าการลงทุนสะสมในแต่ละช่วงที่กำหนดไว้ หากมูลค่าการลงทุนจริงสูงกว่ามูลค่าการลงทุนสะสมตามกลยุทธ์ จะแนะนำให้ผู้ลงทุนขายออกเพื่อทำกำไรในส่วนเกิน (ปี 2016 และ 2018) หากมูลค่าการลงทุนเท่ากับมูลค่าการลงทุนสะสมตามกลยุทธ์ในช่วงนั้นก็จะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม (ปี 2014) และหากมูลค่าการลงทุนต่ำกว่ามูลค่าการลงทุนสะสมตามกลยุทธ์ ผู้ลงทุนก็จะต้องลงทุนเพิ่มเพื่อให้มีมูลค่าการลงทุนสะสมตามกลยุทธ์เท่ากับที่ตั้งเป้าหมายไว้ และหากมูลค่าการลงทุนต่ำกว่ามูลค่าการลงทุนสะสมตามกลยุทธ์มาก จะทำให้ผู้ลงทุนต้องลงทุนเพิ่มเป็นเงินก้อนใหญ่ (ปี 2021) ซึ่งอาจจะกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ลงทุนได้
งนั้น กลยุทธ์แบบ Value Averaging จึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพคล่องสูงพร้อมลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ และการลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้ก็ควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเติบโตของราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาวเช่นกัน
เมื่อมีกลยุทธ์การลงทุนหลากหลาย ผู้ลงทุนต้องประเมินตนเองว่ามีความพร้อมในด้านเงินลงทุน ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์แบบใด แล้วเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อให้สามารถทำให้ผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ในระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ เพราะกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน แต่กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับทุกคนคือ “กลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนเข้าใจและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้” ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการลงทุนได้ตลอดจนจบแผนการลงทุน ส่งผลให้มีโอกาสสูงที่จะบรรลุเป้าหมายการเงินที่ได้ตั้งไว้
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th