ปรับใช้พฤติกรรมการซื้อขายทองคำกับการลงทุนในตลาดหุ้น
โดย ปรารถนา จันทนสกุลวงศ์ นักวางแผนการเงิน CFP®
ที่ผ่านมาหากสังเกตพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้นกับตลาดทองคำของบ้านเรา จะเห็นได้ว่าผู้ลงทุนของทั้งสองตลาดมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน สังเกตได้ว่าโดยส่วนใหญเมื่อราคาทองปรับตัวลงมามาก ผู้คนก็จะยืนเต็มร้านทองเพื่อต่อคิวรอซื้อทองคำ และเมื่อราคาทองคำขึ้นมามากก็จะเห็นภาพเช่นเดิมแต่เป็นการต่อคิวหอบทองคำมาขาย แต่ตัดภาพมาที่ตลาดหุ้น ดูเหมือนจะสวนทางกับร้านทอง เพราะเมื่อหุ้นยิ่งขึ้นแรงๆ นักลงทุนมักจะชอบซื้อเพิ่ม และยิ่งขึ้นมากๆ ก็ยิ่งซื้อเพิ่มเข้าไปอีก แต่ในทางกลับกันเมื่อตลาดหุ้นตกลงแรง ก็ยอมที่จะขายขาดทุน ยิ่งตกแรงยิ่งขายแทบล้างพอร์ต และพฤติกรรมการลงทุนในตลาดหุ้นข้างต้นก็ทำให้นักลงทุนหลายท่านเข็ด และหยุดลงทุนจนสุดท้ายต้องออกจากตลาดหุ้นไป จนมีบางท่านก็ยังเข้าใจว่าการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะที่ผ่านมา ซื้อทองไม่ขาดทุนเลย (เพราะไม่ขายตอนขาดทุน ยอมถือระยะยาวได้) แต่พอซื้อหุ้น หรือกองทุนหุ้น ซื้อแล้วก็ขาดทุน (เพราะไปขายตอนราคาลง ทนถือนานๆ ไม่ได้)
Source: Longtermtrends
ภาพที่ 1: กราฟเปรียบเทียบระหว่างดัชนี S&P500 vs Down jones vs Gold vs Silver
แต่หากดูจากภาพที่ 1 ไม่ว่าจะย้อนหลัง 10 ปี หรือ 30 ปี หรือ 50 ปี จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นของสหรัฐ (เส้นสีแดงและสีน้ำเงิน) ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนในทองคำ(เส้นสีเหลือง) ซึ่งที่ผ่านมาทองคำก็ทำผลตอบแทนได้ดีเช่นกันถึงแม้จะได้ผลตอบแทนไม่มากเท่ากับลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะเห็นผู้ลงทุนจำนวนหนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุนในทองคำ และก็ถือว่ามีประสบการณ์ที่ดีในการลงทุนในทองคำ จึงขอยกตัวอย่างเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ลงทุนในทองคำ เพื่อจะนำมาปรับใช้กับการลงทุนในตลาดหุ้นกันค่ะ
- 1. การซื้อทองคำเกิดจากความเชื่อว่าทองคำยังเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ และเป็นของมีค่าในทุกยุคทุกสมัย และเชื่อว่าราคาทองคำไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร ราคาก็จะปรับขึ้นอยู่ตลอด ดังคำกล่าวที่มักคุ้นชินกันว่า มีเงินเค้าเรียกเป็นน้อง มีทองเค้าเรียกเป็นพี่
- 2. ผู้ลงทุนมักติดตามราคาทองคำอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งที่ผ่านมามักจะเห็นว่าเมื่อราคาทองคำลงมาต่ำกว่า 20,000 บาท ร้านทองคำจะเต็มไปด้วยผู้คนต่อคิวซื้อทองคำกันอย่างล้นหลาม และหากราคาใกล้ 30,000 บาท ร้านทองก็จะหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่แบกทองคำมาขายกันอย่างต่อเนื่อง
- 3. ยินดีที่จะถืออย่างยาวนาน เพราะอย่างน้อยก็ยังมีทองคำที่สามารถจับต้องได้
- 4. ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะวิกฤตขนาดไหน ทองคำก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ และราคายิ่งเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างพฤติกรรมของนักลงทุนที่ชื่นชอบทองคำอาจมีมากกว่านี้ แต่พฤติกรรมที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เพียงพอที่จะนำมาปรับใช้กับผู้ลงทุนในตลาดหุ้นได้ ดังนี้
- 1. สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน เพราะเราถูกปลูกฝังตั้งแต่สมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่ว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนความเชื่อว่าหุ้นหรือกองทุนในอนาคตจะมีราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวเช่นกัน โดยการดูผลตอบแทนย้อนหลังในอดีตประกอบ และการค้นหาข้อมูล งบการเงิน ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เพื่อให้เข้าใจถึงโครงสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทนั้นๆ และจะได้เชื่อมั่นและมั่นใจว่าอนาคตบริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างผลกำไรได้ และทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อไป ขอยกตัวอย่าง หุ้น AOT (Airports of Thailand PCL) หรือท่าอากาศยานของไทย เมื่อพบว่าเกิดวิกฤตโควิดเข้ามา หลายประเทศล๊อคดาวน์ และผู้คนกลัวการติดเชื้อ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ จึงคาดว่าจะกระทบต่อผลประกอบการ ทำให้ราคาลงมาอย่างหนัก ซึ่งจังหวะนั้นถ้าหากเป็นทองคำ ผู้คนจะต้องต่อคิวซื้ออย่างยาวเหยียด แต่พอเป็นหุ้น กลับมีคนขายทุกราคาที่ปรับตัวลงมา หากเรามองมุมกลับ และมีความเชื่อมั่นต่อหุ้น AOT ว่าจะสามารถทำผลประกอบการที่ดีกลับมาได้ โดยการศึกษาสถิติที่ผ่านมา วิกฤตต่างๆ หุ้น AOT ก็ผ่านมาได้ อย่างเช่นการปิดสนามบินประท้วงครั้งก่อนทำให้ราคาร่วงลงไปมากแต่ราคาก็กลับขึ้นมาและปรับตัวขึ้นได้มากกว่าเดิม ส่วนครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เจอวิกฤตโควิด จึงเป็นโอกาสในการลงทุนในราคาที่ถูกลง ซึ่งหากเราศึกษาราคา และผลตอบแทนย้อนหลัง รวมถึงโครงสร้างงบการเงิน และความสามารถในการกลับมาทำกำไรได้ในอนาคตของบริษัท ก็จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะซื้อในราคาที่ถูกมากๆ และเช่นกันกับการลงทุนในกองทุน หากเราดูองค์ประกอบการลงทุนในกองทุน และวิสัยทัศน์ของผู้จัดการกองทุน รวมถึง ผลตอบแทนที่ผู้จัดการกองทุนทำได้ที่ผ่านมา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนว่าราคาจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นหากราคาที่ปรับตัวลงมามากๆ จะทำให้เรากล้าซื้อในวันที่คนอื่นๆ เทขาย
- 2. หากเราศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้น และกองทุนอย่างเชื่อมั่นแล้ว ต่อมาคือการติดตามราคา ผู้ลงทุนทองคำมักจะติดตามราคาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการติดตามราคาของหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ที่เราต้องการลงทุนก็เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของสินทรัพย์และประเมินได้ว่าน่าลงทุนหรือไม่เมื่อราคาปรับลงมา หรือราคาที่ปรับขึ้นมามากๆ แพงไปสำหรับเราหรือไม่ ถ้าหากยังไม่มีก็จะได้ไม่ซื้อ หรือหากมีแล้วก็จะได้มีโอกาสขายทำกำไรออกบ้างได้เช่นกัน
- 3. หากมองว่าสินทรัพย์ที่เราลงทุนมีความผันผวนมาก การจัดพอร์ตการลงทุน และการกระจายการลงทุนให้มากพอ จะช่วยเสริมสร้างพอร์ตการลงทุนให้มีความผันผวนที่ลดลงมาได้
- 4. แม้สินทรัพย์ที่เราลงทุน อย่างหุ้น หรือกองทุน จะไม่มีสิ่งของที่จับต้องได้มาให้ เพราะเมื่อเราลงทุนไปแล้วสิ่งที่เราเห็นต่อมาคือพอร์ตการลงทุนและตัวเลขกำไรขาดทุนเท่านั้น จึงอยากให้ลองมองอีกมุม แม้จะไม่มีสิ่งที่จับต้องได้เหมือนทองคำให้ดูต่างหน้า แต่สิ่งที่เราสามารถจับต้องได้เพิ่มเติม คือบริษัทต่างๆ ที่เราร่วมลงทุน ก็เหมือนการที่เราได้เป็นหนึ่งในเจ้าของกิจการ อย่างเช่น หากลงทุนในหุ้น AOT ก็สามารถไปเดินเที่ยวสนามบินดูกิจการของเราได้ ดูลูกค้าของเราที่มาใช้สนามบิน ดูร้านค้าที่อยู่ในสนามบิน มีความคึกคักมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการศึกษางบการเงินต่างๆ ของบริษัทเพิ่มเติม โดยสามารถหาดูได้ในเว็บไซต์ ก็จะทำให้เรามีอีกทางเลือกที่จะมองหาสิ่งของที่สามารถจับต้องได้นั่นเอง
- 5. ข้อนี้ เป็นจุดวัดสำคัญเช่นกัน เพราะทองคำที่ผ่านมาทุกวิกฤตเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในวิกฤตต่างๆ ซึ่งตรงข้ามกับหุ้นโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นพอผ่านวิกฤตมาก็พบว่าหุ้นปรับตัวขึ้นได้มากเช่นกัน ประกอบกับวิกฤตไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี และอาจไม่เกิดบ่อยมาก จึงทำให้ช่วงปีปกติตลาดหุ้นก็ทำผลตอบแทนได้ดีมากเช่นกัน
ดังนั้นช่วงนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาอย่างมาก และความกลัวปกคลุมตลาด ผู้เขียนก็เชื่อมากๆ ว่า ราคาหุ้น และ กองทุนหลายกองที่ปัจจัยพื้นฐานดี และราคาปรับตัวลงมามาก จะเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ลงทุนได้เลือกช้อปปิ้ง หรือซื้อเก็บเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ราคาที่ถูก และด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัทที่เราเลือกลงทุน ก็จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นว่าราคาจะปรับตัวได้ดีขึ้นในอนาคต และจริงๆ แล้ว คนซื้อทองคำหลายท่านก็ติดดอยได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ขายออกมา เพราะมีความเชื่อว่าในอนาคตราคาก็จะปรับตัวขึ้นได้เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนในหุ้นและกองทุนก็เช่นกัน ซื้อราคาที่ลงมานี้ อาจขาดทุนได้ แต่หากเราศึกษาข้อมูล ปัจจัยพื้นฐานหุ้น และกองทุนที่เลือกแล้ว เราจะเข้าใจพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของราคา และยอมถือลงทุนได้ในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต ดังนั้นจงจำคำของนักลงทุนมหาเศรษฐีอย่าง warren buffet ไว้ว่า “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” จังหวะมาแล้ว คุณผู้อ่านพร้อมที่จะลงทุนหรือยัง ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนะคะ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ นั่นคือความรู้ ระยะเวลา และการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เช่นกัน เหมือนดั่งทองคำ ที่คนไทยมักชื่นชอบ และทนถือได้อย่างยาวนาน ดังนั้นหุ้นและกองทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดีก็เช่นกันค่ะ
สรุปแล้วการซื้อทองคำ หรือ หุ้น คงไม่ได้มีอะไรดีกว่ากัน เพราะหากเทียบกับปัจจัยต่างๆ ก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน หากมองว่าเป็นตัวช่วยลดความผันผวน และช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนในช่วงวิกฤต ทองคำก็จะดีกว่า หากมองทางด้านผลตอบแทนระยะยาว หุ้นและกองทุนก็ดีกว่า ดังนั้นผู้ลงทุนในทองคำหรือหุ้น ไม่จำเป็นต้องเลือกลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สามารถจัดพอร์ตการลงทุน และกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้นได้ ทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงได้ดี และจะพาพอร์ตการลงทุนของเราผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้ ดังนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะสามารถนำพฤติกรรมของผู้ลงทุนในทองคำ มาปรับใช้ในการลงทุนในหุ้นและกองทุนได้ เพื่อให้เรากล้าลงทุนในสภาพตลาดที่มีแต่ความกลัวนี้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนนะคะ
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th